บาเยิร์น มิวนิค เต็มไปด้วยนักเตะชั้นยอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ใครบ้างที่เป็น 11 ผู้เล่นชุดที่ดีสุดตลอดกาลของพวกเขา
บาเยิร์น มิวนิค เป็นทีมชั้นนำของเหล่านักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่จะมีใครบ้างที่ได้เข้ามาอยู่ในทีมยอดเยี่ยมตลอดกาลของเรา?
พลพรรคเสือใต้ไม่ได้เป็นเพียงเจ้าพ่อแห่งบุนเดสลีกา จากการได้แชมป์ไปครองถึง 32 สมัย แต่พวกเขายังเป็นสโมสรจากเยอรมันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรายการยุโรปเช่นกัน ด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกไปถึง 6 สมัย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีซูเปอร์สตาร์หลายคนเคยมาสวมใส่เสื้อของ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งรวมไปถึงเหล่าตำนานจากยุค 70 อันรุ่งโรจน์ทั้ง แกร์ด มุลเลอร์ หรือ ฟร้านซ์ เบคเคนบาวเออร์ และยังรวมไปถึงเหล่าตำนานผู้ยิ่งใหญ่ในยุคหลังอย่าง ฟิลิปป์ ลาห์ม และ โธมัส มุลเลอร์ เป็นต้น
เราลองมาจัดทีมยอดเยี่ยมตลอดกาลของ บาเยิร์น มิวนิค ว่าแต่ละตำแหน่งมีใครบ้าง!
มานูเอล นอยเออร์ ย้ายจาก ชาลเก้ 04 มา บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2011 ภายใต้สถานการณ์ที่ขัดแย้งกันระหว่าง 2 สโมสร จนทำให้เขาไม่เป็นที่ชื่นชอบเหล่าแฟนบอลของ ราชันสีน้ำเงิน
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเหตุผลด้านกีฬา ทุกอย่างดำเนินด้วยความถูกต้อง นอยเออร์ เฝ้าเสาให้บาเยิร์นมาแล้วถึง 11 ปี พร้อมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 10 สมัย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย
หลังจากการแขวนสตั๊ดของ ฟิลิปป์ ลาห์ม เจ้าตัวยังได้รับช่วงต่อปลอกแขนกัปตันทีม และเหตุนี้เจ้าตัวจึงได้จารึกชื่อเป็นกัปตันทีมที่ยิ่งใหญ่ของ บาเยิร์น มิวนิค
แต่ก่อนที่ นอยเออร์ จะกลายมาเป็นสุดยอดผู้รักษาประตู ก็เคยมีตำนานในประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่าง เซ็พพ์ ไมเออร์ และ โอลิเวอร์ คาห์น นี่จึงถือเป็นตำแหน่งที่เราเลือกยากมากที่สุดแล้ว
กระนั้นการเข้ามาของ นอยเออร์ ก็ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทการเล่นของผู้รักษาประตูในยุคใหม่ ที่จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมการเล่นของทีมมากขึ้น โดยเพราะอย่างยิ่งการเล่นด้วยเท้าได้อย่างดีเยี่ยมไม่น้อยหน้าผู้เล่นเอาท์ฟิลด์
และนี่จึงกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เลือกใส่ชื่อ นอยเออร์ ก่อนหน้าตำนานทั้ง 2 คน
โลธาร์ มัทเธอุส เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เจ้าตัวใช้เวลาทั้งหมด 12 ปีที่ บาเยิร์น มิวนิค โดยแบ่งออกเป็นสองช่วงเวลา
ในปี 1984 เขาย้ายจากโบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค มาร่วมทัพ พร้อมช่วยทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัย
ต่อมาอีก 4 ปีเจ้าตัวย้ายไปเล่นในเซเรีย อา กับอินเตอร์ มิลาน ซึ่งนับว่าเป็นลีกที่ดีที่สุดของโลกในช่วงเวลานั้น และนั่นกลายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ของ มัทเธอุส เขาประสบความสำเร็จมากมายที่อิตาลี และยังคว้ารางวัล บัลลงดอร์ไปครองในปี 1991
ต่อมาในปี 1992 เขากลับมาที่บาเยิร์นอีกครั้ง และพาทีมคว้าแชมป์ถ้วยยุโรปอย่างยูฟ่า คัพ ในปี 1996 แต่น่าเสียดายที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 1999 แบบชอกช้ำ
ชื่อของ ฟร้านซ์ เบคเคนบาวเออร์ ยังคงสร้างแรงบันดาลใจ และสร้างความน่าเกรงขามมาจนถึงทุกวันนี้
ประวัติศาสตร์ ของ บาเยิร์น มิวนิค จะแตกต่างออกไปมากถ้าไม่มีเขา นับตั้งแต่ปี 1959-1977 “ไกเซอร์” เป็นส่วนสำคัญของทีม และช่วยนำสโมสรไปถึงจุดสูงสุดของแชมป์ยุโรป
เบคเคนบาวเออร์ พาบาเยิร์นคว้าแชมป์ถ้วยยุโรปสามครั้งติดต่อกันตั้งแต่ปี 1974-1976 และทำให้บาเยิร์น มิวนิคกลายเป็นผู้ชนะในถ้วยยุโรปไปถึง 4 ครั้ง
เขาคือหนึ่งในกองหลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกลูกหนังเคยเห็นมา การเล่นแบบอิสระ ในตำแหน่งของเขาอย่าง “ลิเบอโร” ที่มีส่วนกับการสร้างสรรค์เกมรุกด้วยเช่นกัน
ต่อมาเจ้าตัวก็เคยมีโอกาสได้เข้ามารับตำแหน่งประธานของสโมสร บาเยิร์น มิวนิค อีกด้วย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม ฟร้านซ์ เบคเคนบาวเออร์ จึงมีรายชื่อติดอยู่ในชุดดรีมทีมของ บาเยิร์น มิวนิค เพราะเขาคือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดเท่าที่เยอรมันเคยมีมา
ดาวิด อลาบา กลายเป็นฟันเฟืองชิ้นสุดท้ายในตำแหน่งสามเซ็นเตอร์แบ็คของชุดดรีมทีม เจ้าตัวมีบทบาทสำคัญในการพาสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ประสบความสำเร็จมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
อลาบา เอาชนะใจเหล่าแฟน ๆ ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าตัวได้รับรางวัลมากมายในสีเสื้อบาเยิร์น มิวนิค
ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่เขาจะอายุครบ 16 ปี เขาตัดสินใจย้ายจากออสเตรีย เวียนนา มาอยู่กับทีมเยาวชนของเสือใต้ กระทั่งถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ และเคยถูกปล่อยไปเล่นแบบยืมตัวกับฮอฟเฟนไฮม์ 6 เดือน เพื่อสั่งสมประสบการณ์ด้วย กระทั่งหลังจากนั้นเจ้าตัวก็กลับเป็นผู้เล่นคนสำคัญของสโมสรแบบเต็มตัว
สถิติการคว้าแชมป์ของเขาในสีเสื้อของ บาเยิร์น มิวนิค คือการคว้าแชมป์ไปถึง 28 รายการ เจ้าตัวรับใช้สโมสรด้วยการเล่นได้อย่างหลากหลายตำแหน่งไม่ว่าจะเป็น แบ็คซ้าย, มิดฟิดล์ตัวรับ และ เซ็นเตอร์แบ็ค
แม้ว่าการย้ายไปยัง เรอัล มาดริด ในปี 2021 จะสร้างความเสียดายให้แก่แฟนบอลเป็นอย่างมาก แต่ผลงานที่เขาเคยสร้างไว้ให้กับทีมนั้นก็ควรค่าแก่การถูกใส่ชื่อในทีมยอดเยี่ยมของเราอยู่แล้ว
ฟิลิปป์ ลาห์ม กลายมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับในช่วงท้ายอาชีพการค้าแข้งของเขา หลังจากก่อนหน้านี้ก็ยังเป็นหนึ่งในฟูลแบ็คที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย
แต่ในความเป็นจริงก็คือ ลาห์ม เป็นผู้เล่นที่ฉลาดมาก จนทำให้เขากลายเป็นกองกลางที่สร้างความมั่นคงให้กับ บาเยิร์น มิวนิค และด้วยความที่เจ้าตัวคือหนึ่งในตำนานของสโมสร จึงไม่แปลกเลยที่จะต้องชื่อเขาอยู่ในชุดดรีมทีม
ลาห์ม มายังสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ตั้งแต่อายุ 11 ปี และอยู่ในทีมเยาวชนของสโมสร และเคยถูกปล่อยไปสั่งสมประสบการณ์กับ สตุ๊ตการ์ต แบบยืมตัว จนกระทั่งได้กลับมาตัวหลักของสโมสรในที่สุด
ในปี 2011 ลาห์ม ได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีม และกลายเป็นขุนพลกัปตันทีมของชุดสามแชมป์เมื่อปี 2013
ท้ายที่สุดเจ้าตัวตัดสินใจแขวนสตั๊ดช่วงปี 2017 ในวัย 33 ปี และไม่มีข้อต้องสงสัยเลยว่าเจ้าตัวคือตำนานของ บาเยิร์น มิวนิค อย่างแน่นอน
ฟิลิปป์ ลาห์ม และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ มีสไตล์การเล่นที่ไม่เหมือนกัน แต่ก็กลายเป็นส่วมผสมที่ลงตัวที่นำพาความสำเร็จมาให้ บาเยิร์น มิวนิค
ทั้งคู่กลายเป็นขุนพลสำคัญของ บาเยิร์น มิวนิค นานนับทศวรรษ และทั้งคู่ก็เป็นส่วนสำคัญของทีมชาติเยอรมันที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2014
ขณะที่ ลาห์ม คือกัปตันของสโมสร ชไวน์สไตเกอร์ ก็เป็นกัปตันคนที่ 2 รวมถึง ชไวน์สไตเกอร์ ยังมีส่วนคล้าย ลาห์ม ตรงที่ไม่ได้เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางมาตั้งแต่แรก แต่ก่อนหน้านี้เคยเล่นอยู่ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกฝั่งซ้าย
แต่สิ่งที่ต่างจาก ลาห์ม คือทาง ชไวนี กลับไม่ได้ยุติอาชีพการค้าแข้งของเขากับบาเยิร์น
ในช่วงปี 2015 เขาตัดสินใจย้ายไปยังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนการผจญภัยครั้งสุดท้ายของเขาจะจบลงที่ ชิคาโก้ ไฟร์ และประกาศแขวนสตั๊ดในช่วงต้นปี 2020
หากจะกล่าวว่า อาร์เยน ร็อบเบน คือหนึ่งในปีกที่ดีที่สุดตลอดกาลของ บาเยิร์น มิวนิค ก็คงจะไม่ใช่เรื่องเกินเลยอย่างแน่อน
แนวรุกดัตช์แมนย้ายมาจาก เรอัล มาดริด ในปี 2009 และกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมในทันที
เอกลักษณ์ของเขา คือการเลี้ยงบอลทางกราบขวาตัดเข้าในและยิงด้วยเท้าซ้ายอันแข็งแกร่งของเขา ซึ่งแสดงให้พวกเราเห็นครั้งแล้วครั้งเล่า
กระนั้น ร็อบเบน ก็มักจะได้รับอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง และมีโมเมนต์ที่ไม่น่าจดจำในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2012 ที่เจ้าตัวพลาดจุดโทษในช่วงต่อเวลาพิเศษ จนมีส่วนทำให้ทีมต้องพ่ายแพ้
แต่แล้ว ร็อบเบน ก็มาแก้ไขความผิดพลาดของเขา ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ในปีต่อมา 2013 ด้วยการเป็นผู้ยิงประตูชัยเฉือนชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2-1
โธมัส มุลเลอร์ ทั้งชีวิตของเขาเป็นนักเตะบาเยิร์น มิวนิค มาโดยตลอด เจ้าตัวเกิดในบาวาเรีย เขากลายเป็นคนที่เหล่าแฟนบอลรู้จักเขาดี
มุลเลอร์ เป็นผู้เล่นพรสวรรค์ เขาเป็นนักฟุตบอลที่ไม่เหมือนใคร แถมเขายังเป็นดั่งแบรนด์ในแบบของเขาเองอยู่เเล้ว
มิดฟิลด์ตัวรุกคนนี้ อาจไม่ใช่ผู้เล่นที่เก่งกาจที่สุด แต่เขาเป็นคนที่ทุกทีมอยากจะมีไว้ในทีม มันจึงทำให้เขานั้นแตกต่าง อดีตเจ้านายผู้ปลุกปั้นอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล เคยกล่าวไว้ว่า “มุลเลอร์ พร้อมลงเล่นเสมอ”
และหลังจากอดีตโค้ชชาวดัตช์แมนออกจากทีมไป มุลเลอร์ก็ยิ่งพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ แบบไม่หยุดยั้ง จนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
แม้จะมีมิดฟิลด์ตัวรุกในตำนานอยู่หลายคน แต่ยังไงก็แล้วแต่ ชื่อของ โธมัส มุลเลอร์ ก็ต้องอยู่ในชุดดรีมทีมของเราแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ อาร์เยน ร็อบเบน อยู่ฝั่งขวาเป็นเวลาหลายปีที่ บาเยิร์น มิวนิค ทางฝั่งซ้ายก็มีคู่หูของเขาอย่าง ฟรองค์ ริเบรี ประจำการอยู่เช่นกัน ทั้งคู่คือหนึ่งในปีกคู่หูที่ดีที่สุดในโลก และได้รับฉายาว่า ‘ร็อบเบรี’
ดาวเตะเฟร้นช์แมน มาอยู่กับบาเยิร์นตั้งแต่ 2007 และอยู่กับทีมอย่างยาวนานจนถึงปี 2019
ริเบรี เป็นผู้เล่นแนวรุกที่ไม่เหมือนใคร และเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของผู้เล่นเเนวรุก เจ้าตัวกลายมาเป็นคนสำคัญของสโมสร
ในปี 2013 เขาพลาดรางวัลบัลลงดอร์ไปอย่างน่าเสียดาย แม้ว่าเขาจะได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลแห่งปีของยูฟ่าในปีเดียวกันก็ตาม
ริเบรี กล่าวอำลาสโมสรหลังจากการรับใช้ทีมมาอย่างยาวนานถึง 12 ปีในฐานะตำนาน หลังจากเจ้าตัวลงเล่นไปทั้งหมด 423 เกม ทำไป 123 ประตู 181 แอสซิสต์ และคว้าแชมป์ไปทั้งหมด 22 รายการ
เป็นไปไม่ได้เลยที่ในชุดดรีมทีมของ บาเยิร์น มิวนิค จะขาดดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของฟุตบอลเยอรมันอย่าง แกร์ด มุลเลอร์ ไปได้
ในยุคของเขานั้น แกร์ด มุลเลอร์ เป็นกองหน้าที่เก่งที่สุดในโลก ถ้าให้ยกตัวอย่างก่อนหน้าเขาก็จะมีนักเตะอย่าง เฟเรนซ์ ปุสกัส หรือ อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน เท่านั้นที่ทำได้ก่อนหน้านี้ เขาจึงได้รับฉายาว่า “เจ้าลูกระเบิด”
มุลเลอร์ ลงเล่นไปทั้งหมด 584 เกม ในสีเสื้อบาเยิร์น ทำประตูไป 531 ประตู กองหน้าจอมล่าตาข่ายรายนี้ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์โลกฟุตบอล ที่จะมีสไตล์คล้ายแบบนี้
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ปี 2021 นับว่าเป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่โลกลูกหนังศูนย์เสียตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบาเยิร์นและวงการฟุตบอลเยอรมัน เจ้าตัวเสียชีวิตด้วยอายุ 75 ปี
ในประวัติศาสตร์ของ บาเยิร์น มิวนิค เคยมีกองหน้าชั้นยอดมาแล้วมากมาย แต่สำหรับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เขาคือหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก ที่พอจะเทียบเท่ากับตำนานอย่าง แกร์ด มุลเลอร์ ได้สูสีที่สุดแล้ว
ดาวเตะชาวโปแลนด์ กลายเป็นกองหน้าระดับท็อปในช่วง 8 ปีของเขากับบาเยิร์น และยังได้ทำลายสถิติของ แกร์ด มุลเลอร์ กองหน้าผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสรอีกด้วย จากการยิงได้ 41 ประตูในบุนเดสลีกาฤดูกาล 2020/21 ทุบสถิติของ แกร์ด มุลเลอร์ ที่เคยทำไปได้ 40 ประตู และเคยถือครองสถิตินี้ยาวนานกว่า 50 ปี
และเขาอาจจะทำลายสถิติของ มุลเลอร์ ที่ทำได้ 365 ประตูในบุนเดสลีกาตลอดกาล หากเจ้าตัวไม่เลือกย้ายไปค้าแข้งให้กับ บาร์เซโลนา
เลวานดอฟสกี้ ได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าถึง 2 ครั้ง แถมเขายังเติมเต็มความฝันด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับบาเยิร์นได้สำเร็จ
แม้ว่าวิธีการย้ายทีมของเขาในช่วงตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา อาจจะเป็นการจากลาที่ไม่สวยงามนัก แต่ก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาทำให้กับสโมสร จนทำให้เขาถูกยกให้เป็น “แกร์ด มุลเลอร์ เวอร์ชั่นปัจจุบัน” เลยทีเดียว
This website uses cookies.