ย้อนกลับไปเมื่อตอนกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เอง
พลพรรคปีศาจแดงบุกไปเชือด เบิร์นลี่ย์ หวุดหวิดจากการกระทุ้งประตูชัยของ ปอล ป็อกบา ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงนำอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง โดยมีคะแนนนำหน้า แมนฯ ซิตี้ อยู่ 3 แต้ม
เมื่อบุกไปทำศึกแดงเดือดที่ แอนฟิลด์ ในเกมต่อมา – การเสมอคู่แค้นและแชมป์เก่านอกบ้าน ด้วยสกอร์ 0-0 ก็ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหายอะไร
หลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยกพลบุกไปอัด ฟูแล่ม 2-1 ซึ่ง “คุณป๊อก” ซัลโวประตูชัยได้อีกแล้ว
ตอนนั้น “เด็กผี” ยังเริงร่ากันอยู่เลยครับ-ขอบอก
หารู้ไม่ว่านับตั้งแต่การศึกครั้งนั้นเป็นต้นมา อาเพศกำลังจะมาเยือน
เริ่มต้นด้วยการถูกทีมบ๊วยของตารางอย่าง เชฟฯ ยูไนเต็ด บุกมาเหยียบจมูกถึงถิ่นในเกมที่พวกเขาโชว์ฟอร์มการเล่นได้ห่วยแตกสิ้นดี
ถ้าหวังจะลุ้นแชมป์และยืนระยะไปจนถึงบั้นปลายให้ได้ นี่คือเกมที่ไม่ได้รับอนุญาตให้พลาดด้วยประการทั้งปวง
โอเคย์…ไม่เป็นไร ของแบบนี้มันพลาดกันได้ ขอมองโลกในแง่ดีว่ามันเป็นอุบัติเหตุทางลูกหนังก็แล้วกันเนอะ
หลังจากนั้นก็เสมออีกกับ อาร์เซน่อล ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
อืมมมมม…ความจริงการแบ่งแต้มกับทีมในวรรณะเดียวกันอย่างไอ้ปืนใหญ่ มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรมากนักหรอก
แต่จบเกมอดีตดาวเตะในตำนานของปีศาจแดงที่ผันตัวเป็น “กูรูลูกหนัง” ทางทีวีอย่าง แกรี่ เนวิลล์ และ พอล สโคลส์ ต่างวิจารณ์ทีมเก่าของตัวเองในทิศทางเดียวกันว่า…ปอดแหกเกินไป ไม่กล้าเล่นเกมรุกแบบสุดตัว
คือเข้าใจแหละว่าเป็น “บิ๊กแมตช์” ที่หนึ่งแต้มก็คือว่ามีค่า แต่ในสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังมีลุ้นแชมป์ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องมีความกล้าได้และกล้าเสียมากกว่านี้…หรือเปล่า ???
ไม่ใช่พอใจในผลเสมอนอกบ้านกับทีมที่อันดับในตารางต่ำกว่าตัวเอง
ว่าแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ก็บอกโลกว่าข้าคือปีศาจใจร้าย ด้วยการเปิดบ้านระเบิดถังขี้ เซาธ์แฮมป์ตัน อย่างไม่ปรานี ด้วยสกอร์ที่เป็นสถิติพรีเมียร์ลีกถึง 9 ประตูต่อศูนย์ อันแสดงให้เห็นถึงแสนยานุภาพของเกมรุกที่ดุดัน และกะซวกไส้ดีนักแล
ความมั่นใจถูกกระชากกลับคืนมาอีกครั้ง แถมตัวเองเป็นเจ้าของสถิติถล่มตาข่ายได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกอีกต่างหาก
ในเกมที่เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เอฟเวอร์ตัน
แมนฯ ยูไนเต็ด ออกนำไปก่อนถึง 2-0 ด้วยฟอร์มการเล่นที่เหนือกว่าทุกเหลี่ยมมุม
สุดท้ายถูกตีเสมอเป็น 3-3 ก่อนหมดเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ด้วยความผิดพลาดของตัวเองพลางเอาชัยชนะไปโยนทิ้งลงโถส้วมแบบ ‘งง-งง’
ตามมาด้วยการทำได้แค่เสมอกับทีม “รองบ๊วย” ของตารางอย่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ซะอย่างนั้น
รู้สึกตัวอีกครั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด ตามหลังจ่าฝูงอย่าง แมนฯ ซิตี้ 10 แต้มเข้าให้แล้ว !!!
ก่อนเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ด้วยสกอร์ 3-1 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
จบเกม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้ามุ่งมั่นแบบเต็มประดาว่าการลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้ยังไม่จบ โดยหวังว่าจะมี “เซอร์ไพรส์” และยังไม่ยอมยกธงขาวง่ายๆ แน่นอน
ทว่าอีก 2 เกมต่อมากับ เชลซี และ คริสตัล พาเลซ พวกเขากลับทำได้แค่เสมอ 0-0 ทั้ง 2 นัด สะสมได้อย่างกระจุ๋มกระจิ๋มเพิ่มขึ้นอีกเพียงแค่ 2 แต้มเท่านั้น
เกมเสมอ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ยังพอเข้าใจว่าไม่คุ้มค่าพอที่จะเสี่ยง แต่เกมล่าสุดที่เสมอ คริสตัล พาเลซ นี่มันอะไร ???
สรุปว่า 8 นัดล่าสุดนับตั้งแต่ตัวเองสัมผัสความหนาวยะเยือกบนตำแหน่งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะพลาดท่าพ่ายแพ้เพียงแค่นัดเดียว แต่หลุดเสมอไปถึง 5 นัด โดยเอาชนะคู่แข่งได้เพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น
คะแนนที่ควรจะได้หล่นหายไปเห็นๆ ถึง 9 แต้ม
คิดดูนะครับ ถ้า แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะในเกมที่ควรชนะ – เหนือคู่แข่งอย่าง เชฟฯ ยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน, เวสต์บรอมฯ และคริสตัล พาเลซ ตอนนี้พวกเขาจะตามหลังจ่าฝูงอย่าง แมนฯ ซิตี้ แค่ 5 แต้ม ก่อนหักกันเองในศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ วันพรุ่งนี้
ถามว่ามันเกิดนรกอะไรขึ้นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ???
สังเกตได้ว่าช่วงที่ทำแต้มหล่นหายอย่างต่อเนื่อง เป็นช่วงที่อาการบาดเจ็บเริ่มแอบมาลักพาตัวผู้เล่นสำคัญของปีศาจแดงไปทีละคน 2 คนจนขนาดของทีมเล็กลง
ปราการหลังอย่าง เอริก ไบยี่ เจ็บง่ายอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึง ขณะที่ห้องเครื่องอย่าง ปอล ป็อกบา ถูกอาการบาดเจ็บกระชากตัวออกจากสนามตั้งแต่ครึ่งแรกของเกมกับ เอฟเวอร์ตัน จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ส่งผลให้ทางเลือกในการจัดตำแหน่งมิดฟิลด์เหนือน้อยลง เช่นเดียวกับพลานุภาพและความหลากหลายของเกมรุก
หัวหอกอย่าง เอดิสัน คาวานี่ ก็หายตัวไปหลังจบเกมกับ เวสต์บรอมฯ เพิ่งกลับมาลงสนามอีกครั้งในเกมล่าสุด
สก๊อตต์ แม็คโทมิเนย์ ก็ถูกอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ รบกวนเป็นระยะจนได้ลงบ้างไม่ได้ลงบ้าง
เกมรุกที่มองเผินๆ เหมือนจะอุดมด้วยประสิทธิ์ภาพ – เอาเข้าจริง สถิติยิงได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกแทบไม่ได้สะท้อนความจริงวักเท่าไหร่ เพราะผู้เล่นในแผนกกองหน้าผลิตประตูได้น้อยกว่าที่ควร
มาร์คัส แรชฟอร์ด กระทุ้งตาข่ายได้มากที่สุดคือ 9 ประตู จากการลงตัวจริง 25 นัด สำรอง 2 นัด ขณะกองหน้าอีก 2 คนอย่าง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กับ เมสัน กรีนวู๊ด ผลิตประตูได้น้อยอย่างน่าเกลียด โดยยิงรวมกันได้แค่ 5 ประตูเท่านั้นเอง
หัวหอกตัวเป้าอย่าง เอดิสัน คาวานี่ บนวัย 33 กะรัต ยังเป็นผู้เล่นที่มากด้วยพิษสง แต่เจ้าของสมญา “เอล มาทาดอร์” ควรถล่มตาข่ายได้มากกว่า 6 ประตู หาก แมนฯ ยูไนเต็ด มีความกล้าได้และกล้าเสียมากกว่านี้
กลายเป็นว่าผู้เล่นที่มีส่วนร่วมกับการทำประตูมากที่สุด คือมิดฟิลด์อย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส
จาก 53 ประตูที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ในพรีเมียร์ลีกและฤดูกาลนี้มีส่วนมาจาก “บรูโน่” มากถึง 25 ประตู (ยิง 15 แอสซิสต์ 10)
มันจึงอาจบอกว่าไอ้ที่พลพรรคปีศาจสามง่ามยังอยู่ในตำแหน่ง “รองจ่าฝูง” ก็เพราะความสามารถเฉพาะตัวของเพลย์เมคเกอร์ชาวขนมฝอยทองผู้นี้เป็นสำคัญซะมากกว่า
ต่อเมื่อโชว์ฟอร์มไม่ออกเมื่อไหร่ มันก็เหมือนเกมล่าสุดที่ทำได้แค่เสมอ คริสตัล พาเลซ นั่นแหละครับคุณ
เหนือสิ่งอื่นใดคือคุณภาพของผู้จัดการทีมที่บางทีพ่อก็ไม่เข้าใจตุ้มเหมือนกัน
เอริก ไบยี่ กำลังเข้าคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ อยู่ดีๆ บนสถิติที่สวยหรู แถมยังไม่ทันจะได้รับบาดเจ็บอะไร พี่แกเอาออกให้ลูกรักอย่าง วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ลงเล่นเป็นตัวจริงแทนซะอย่างนั้น
อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ฟอร์มตกอย่างน่าเกลียด แต่เรื่องไม่มีความกระตือรือร้น เรื่องไม่แสดงความมุ่งมั่นและทุ่มเท คนเป็นกุนซือมันน่าจะว่ากล่าว สั่งสอน หรือตักเตือนกันได้มิใช่หรือ
สุดท้ายไม่มีอะไรดีขึ้นเลยสักอย่าง
รูปแบบการเล่นก็ค่อนข้างระมัดระวัง และขี้ระแวงจนเกินไป ทั้งที่บางสถานการณ์มันต้องกล้าเสี่ยงเดิมพันแบบตายเป็นตายบ้าง
เกมที่เจอคู่แข่งวรรณะต่ำกว่าอย่าง เวสต์บรอมฯ พี่แกไม่กล้าเปลี่ยนตัวแบบวัดดวง เช่นเดียวกับเกมล่าสุดที่ต้องการชัยชนะเพียงสถานเดียวแท้ๆ แต่ใจไม่นักเลงพอ เพราะกลัวแพ้
ปากบอกไม่ยอมแพ้ และยังมีความหวัง ทว่าการกระทำมันกลับสวนทางกับสิ่งที่บ้วนออกมาอย่างชัดเจน
ที่สุดแล้วก็แค่เซฟตูดแล้วแหกยิ้มพลางให้สัมภาษณ์แบบโลกสวย เพื่อให้สายอวยออกมาปกป้องว่า…นี่ขนาดเป็น “รองจ่าฝูง” นะ ยังถูกแฟนบอลทีมตัวเองด่าเสียๆ หายๆ ทั้งที่ความจริงมันกำลังบอกอยู่ทนโท่ว่าไอ้อันดับในตารางที่เหนือกว่า ลิเวอร์พูล, เชลซี, สเปอร์ส, อาร์เซน่อล และเลสเตอร์
ตอนจบมันอาจเป็นแค่ภาพลวงตาก็ได้
ส่วนตอนนำเป็นจ่าฝูงแบบประเดี๋ยวประด๋าว น่าจะเรียกว่า…
‘เคาะหมาให้กะลาดีใจ’
บอ.บู๋
This website uses cookies.