อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีนักเตะชื่อดังที่มาลงชิงชัยเหรียญทองเลย โดยที่ผ่านมาก็มีแข้งชื่อดังเคยได้เหรียญทองกลับบ้านไปหลายต่อหลายคน อย่างเช่น โจเซป กวาร์ดิโอล่า, ลิโอเนล เมสซี่, เซร์คิโอ อเกวโร่ และ เนย์มาร์ เป็นต้น ซึ่งในขณะเดียวกันก็มีบางคนที่ถึงขั้นเคยเป็นดาวซัลโวสูงสุดของรายการด้วย เราจะมาลองย้อนดูกันสักหน่อยว่าแข้งดังที่เข้าข่ายนั้นมีใครกันบ้าง
– โรมาริโอ : 1988
ดาวเตะชาวบราซิเลียนสร้างชื่อให้ตัวเองได้เป็นอย่างดีตั้งแต่ตอนที่ขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ วาสโก ดา กาม่า เมื่อปี 1985 และมันก็ทำให้เขาถูกเรียกติดทีมชาติบราซิล ชุดล่าเหรียญทองในการแข่ง โอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพ โดยที่ บราซิล ชุดนั้นมีแข้งอย่าง เบเบโต้ อยู่ในทีมด้วย
ทั้งนี้ โรมาริโอ ยังคงแสดงให้เห็นได้ว่าเขาเป็นยอดดาวยิงคนหนึ่งของยุค ด้วยการทำได้ถึง 7 ประตู ซึ่งนั่นรวมถึงลูกที่เขายิงให้ทีมขึ้นนำ สหภาพโซเวียต ในนัดชิงชนะเลิศด้วย น่าเศร้าที่สุดท้ายแล้วผลงานระดับนั้นก็ไม่สามารถทำให้เขาสมหวังได เพราะ บราซิล แพ้ในนัดชิงดำไป 1-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนที่หลังจากนั้น โรมาริโอ จะได้ย้ายไปเล่นกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และสร้างชื่อเป็นตำนานคนหนึ่งของวงการฟุตบอลได้สำเร็จ
– เบเบโต้, เอร์นาน เครสโป : 1996
แม้ว่าทั้ง 2 ชาติจะเป็นชาติยักษ์ใหญ่ในโลกลูกหนัง แต่ตอนปี 1996 ทั้ง บราซิล และ อาร์เจนตินา ยังไม่เคยได้สัมผัสกับเหรียญทองในการแข่งฟุตบอลชายของ โอลิมปิก เกมส์ แม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งในการแข่ง โอลิมปิก เกมส์ 1996 ที่เมืองลอส แองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพนั้น ทั้งคู่ก็มีโอกาสดีที่จะได้เหรียญทอง หลังจากมีแข้งฝีเท้าดีอยู่ในทีมหลายคน
ท้ายที่สุดแล้วตัวแทนของ 2 ชาติจากทวีปอเมริกาใต้ก็ได้เป็นดาวซัลโวสูงสุดของรายการร่วมกันด้วย นั่นคือ เบเบโต้ กับ เอร์นาน เครสโป ที่กดไปคนละ 6 ประตู แต่เหมือนตลกร้ายที่สุดท้ายทีมของทั้งคู่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน โดยที่ บราซิล ของ เบเบโต้ ตกรอบรองชนะเลิศจากการแพ้ ไนจีเรีย ก่อนที่จะไปชนะในรอบชิงเหรียญทองแดงเป็นการปลอบใจ ส่วน อาร์เจนตินา ก็ไปพ่าย ไนจีเรีย ในรอบชิงดำเช่นกัน แถมยังเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าชอกช้ำสุดๆ หลังจากเสียประตูให้ เอ็มมานูเอล อมูนิเก้ ในช่วงท้ายเกม
– อิวาน ซาโมราโน่ : 2000
หลังจากไม่ผ่านรอบคัดเลือกมา 3 หน ในที่สุดทีมฟุตบอลชายของ ชิลี ก็ได้หวนคืนสู่ โอลิมปิก เกมส์ อีกครั้ง ในการแข่งที่นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นเจ้าภาพ ซึ่งทีมในชุดนั้นก็นำมาโดย อิวาน ซาโมราโน่ หัวหอกชื่อดังที่ตอนนั้นอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน
แค่นัดแรกของทัวร์นาเมนท์กับ โมร็อคโก ซาโมราโน่ ก็ระเบิดฟอร์มโหดแล้วด้วยการทำแฮตทริกได้ โดยหลังจากนั้นเขายังทำประตูเพิ่มได้ 3 ลูก แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ดาวซัลโวไม่ได้สัมผัสกับเหรียญทอง เพราะ ชิลี ไปแพ้ แคเมอรูน ในรอบตัดเชือก ก่อนจะได้เหรียญทองแดงมาคล้องคอจาการชนะ สหรัฐฯ 2-0 ในรอบชิงอันดับ 3
– คาร์ลอส เตเวซ : 2004
นี่คือกองหน้าดาวรุ่งที่แฟนบอล ชาวอาร์เจนไตน์ตั้งความคาดหวังเอาไว้สูงมากในตอนนั้น หลังจากที่ เตเวซ เล่นได้โดดเด่นอย่างมากกับ โบคา จูเนียร์ส และในการแข่ง โอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ เตเวซ ก็ได้ติดทีมชาติอาร์เจนตินาชุดนั้นด้วย
ทั้งนี้ “เอล อาปาเช่” ก็ไม่ทำให้แฟนบอลที่บ้านเกิดต้องผิดหวัง เพราะในรายการนั้นเขาซัดไปถึง 8 ประตู เอาชนะอันดับ 2 อย่าง โฮเซ่ การ์โดโซ่ แข้ง ปารากวัย ไปถึง 3 ลูก และผลงานดังกล่าวก็ช่วยให้ อาร์เจนตินา ได้เหรียญทองมาเชยชม ซึ่งนั่นถือเป็นหนแรกที่ทีมฟุตบอลชายของอาร์เจนตินาได้เหรียญทองใน โอลิมปิก เกมส์ ด้วย
– จูเซ็ปเป้ รอสซี่ : 2008
แม้ว่าจะไม่สามารถขึ้นไปเป็นขุมกำลังตัวหลักในทีมชุดใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนต้องย้ายไปอยู่กับ บียาร์เรอัล ในปี 2007 แต่ดาวเตะชาวอิตาเลียนก็เล่นได้ดีพอตัวในซีซั่นแรกกับ บียาร์เรอัล จนทำให้ อิตาลี ดึงเขามาล่าเหรียญทองที่กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
ท้ายที่สุดแล้วในทัวร์นาเมนต์นั้น อิตาลี ก็ไปถึงเพียงรอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น จากการแพ้ เบลเยียม 2-3 แต่ รอสซี่ ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นดาวซัลโวสูงสุดของรายการ หลังจากยิงไป 4 ประตู
– แซร์ช นาบรี้ : 2016
อันที่จริงแล้วในครั้งนั้น นาบรี้ ได้เป็นดาวซัลโวสูงสุดร่วมกับ นีลส์ พีเตอร์เซ่น เพื่อนร่วมทีมชาติเยอรมนีของเขา หลังจากทั้งคู่ทำไปคนละ 6 ประตู เพียงแต่นับจากนั้นเป็นต้นมา นาบรี้ พัฒนาตัวเองต่อได้จนกลายเป็นแข้งของ บาเยิร์น มิวนิค ในตอนนี้ ส่วน พีเตอร์เซ่น ปัจจุบันเล่นให้ ไฟร์บวร์ก ซึ่งต้องยอมรับว่าชื่อชั้นต่างจาก “เสือใต้” เยอะพอตัว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า นาบรี้ กับ พีเตอร์เซ่น จะยิงไปรวมกันถึง 12 ลูก แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ เยอรมนี ได้เหรียญทอง หลังจากที่ในนัดชิงชนะเลิศพวกเขาแพ้ บราซิล ชาติเจ้าภาพในช่วงดวลจุดโทษ
– เด็กเกร็ดบอล –
This website uses cookies.