วันจันทร์ ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564, 11.25 น.
อิตาลีคว้าตำแหน่งแชมป์ยุโรปเป็นครั้งที่ 2 และเป็นครั้งแรกในรอบ 53 ปี มันเป็นช่องว่างที่ยาวที่สุดระหว่างการแข่งขันชิงแชมป์ในทัวร์นาเมนต์ โดยชาติที่รอคอยนานสุดก่อนหน้านี้คือ สเปน คือ 44 ปี
อังกฤษชนะเพียง 22% หรือ 2 จาก 9 ครั้งเท่านั้นในการการยิงลูกโทษในการแข่งขันรายการใหญ่ นั่นคือ ฟุตบอลโลก และบอลยูโร ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดของประเทศในยุโรปใดๆ ที่มีการยิงเกิน 3 นัด
อิตาลี ถูกยิงนำครั้งแรกในยูโร ก่อนจะใช้เวลา 65 นาทีตามตีเสมอ ซึ่งถือว่านานที่สุดในช่วงเวลาที่ตามหลัง ก่อนจะรักษาสถิติไร้พ่ายต่อไป 33 เกม
อังกฤษครองบอลน้อยที่สุดในเกมที่เวมบลีย์ (34.4%) นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2016 ในเกมพบกับ สเปน ครั้งนั้นครองบอล 34.3%
แกเร็ธ เซาธ์เกต ทำการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 1 ตำแหน่งกับทีมตัวจริง รวมทั้งสิ้น 37 นัดติดต่อกัน โดยครั้งสุดท้ายที่ใช้นักเตะชุดเดิมก็คือ รอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 2018
การพังประตูได้ตั้งแต่วินาทีที่ 57 ของ ลุค ชอว์ นอกจากจะเป็นประตูแรกของเขาในทีมชาติอังกฤษ ยังเป็นประตูที่เร็วที่สุดในรอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปอีกด้วย
เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ในวัย 34 ปี 71 วัน กลายเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดที่เคยทำประตูในการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปรอบชิงชนะเลิศ และเป็นนักบอลยุโรปที่อายุมากเป็นอันดับ 2 ที่สามารถพังสกอร์ในรายการใหญ่ ต่อจาก นีลส์ ลีดโฮล์ม ของทีมชาติสวีเดน ที่ยิง บราซิล ในบอลโลก นัดชิงปี 1958 ตอนนั้นตำนานลีดโฮล์ม อายุ 35 ปี 264 วัน
แฮร์รี่ เคน ล้มเหลวในการสร้างโอกาสพังประตูหรือไม่ได้สับไกเลยเป็นหนที่ 2 ในการรับใช้ทีมชาติ 61 นัด ก่อนหน้านั้นเคยเกิดขึ้นในเกมกระชับมิตรกับ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนกันยายน 2018
ยูโร2020 สร้างสถิติใหม่ด้วยการทำประตูรวมได้มากที่สุด 142 ลูก ทำลายสถิติเดิมปี 2016 ที่ยิงรวมเอาไว้สูงสุด 108 ประตู และปี 2000 ยิงรวมไว้ 85 ประตู
โดยค่าเฉลี่ยยูโรครั้งนี้อยู่ที่ตัวเลข 2.75 ประตูต่อนัด ของเดิมปี 2000 คือ 2.74 ประตูต่อนัด
อิตาลี นับเป็น”เจ้าภาพ”ทีมที่ 3 ที่ได้แชมป์ต่อจาก สเปน ปี 1964 และฝรั่งเศส ปี 1984 โดยหนนี้ อิตาลี เป็นหนึ่งใน 11 เจ้าภาพร่วม
This website uses cookies.