วันเสาร์ ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.
กองทัพทรีไลออนส์ ไม่เคยได้แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเลย……….แม้แต่ครั้งเดียว
อย่าว่าแต่ได้แชมป์เลย การเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศ ในวันสุดท้ายของการแข่งขัน พวกเขาก็ไม่เคยทำได้เหมือนกัน!!!
ความใกล้เคียงครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 1996 แต่ก็ยิงจุดโทษแพ้
จากนั้นพวกเขาไม่เคยผ่านรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้อีกเลย ทั้งการตกรอบแรกปี 2000, ยิงจุดโทษแพ้ โปรตุเกส รอบ 8 ทีมปี 2004, ตกรอบตั้งแต่การคัดเลือก ไม่ได้ไปเล่นปี 2008, ตกรอบ 8 ทีม ปี 2012 และตกรอบ 16 ทีมเมื่อครั้งที่แล้ว ปี 2016
หนนี้พวกเขาโคจรมาเจอกับ ยูเครน ในการพบกันนั้นไม่ได้มีอะไรให้เป็นประเด็นอะไรให้มาเทียบเปรียบเรื่องเก่าเล่ายี่ห้อ เหมือนกับการดวลกับ เยอรมนี เมื่อรอบที่แล้ว
แต่คู่นี้คือ “บอลเปลี่ยนโลก” และเปลี่ยนไปตลอดกาล
เมื่อ 4 วันที่แล้ว ผมเขียนคอลัมน์นี้ในชื่อเรื่องว่า “อังกฤษ-เยอรมนี”….ผู้ล่มสลายลัทธิฟุตบอล “สายคลาสสิก”
ปรากฏว่า มีชื่อของ ยูเครน มาเกี่ยวข้องด้วย
การพบกันครั้งเดียวก่อนหน้านี้ระหว่าง อังกฤษ กับ ยูเครน เกิดขึ้น นัดสุดท้ายของรอบแรก เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2012 เป็นยูโรที่มีเจ้าภาพร่วมกันเป็นครั้งที่ 2 นั่้นคือ ยูเครน กับ โปแลนด์
เท่ากับหนนั้น อังกฤษ เป็นผู้มาเยือน ลงเล่นที่ดอนบาสส์ อารีน่าในโดเนตส์ค จะมีเรื่องเถียงกันก็ตรงที่ รัฐมนตรีอังกฤษประกาศคว่ำบาตรฟุตบอลยูโร 2012 เพื่อประท้วงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในยูเครน กรณีนางยูลิยา ทีโมเชนโกอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกจองจำ
เกมนั้นชัยชนะเป็นของ อังกฤษ ด้วยประตูชัยของ เวย์น รูนี่ย์ ทำให้ อังกฤษ เป็นแชมป์กลุ่ม ดี กอดคอกับ ฝรั่งเศสเข้ารอบ
ปล่อยให้เจ้าบ้าน ยูเครน ตกรอบด้วยการมี 3 แต้ม น้อยกว่าฝรั่งเศส แค่คะแนนเดียว และ อังเดร เชฟเชนโก้ ยอดกองหน้าประกาศแขวนสตั๊ด………
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเกมเกิดประเด็นปัญหากับลูกที่ว่า “เข้าหรือไม่เข้า”
จังหวะรุกเพื่อเอาประตูเสมอของ ยูเครน ลูกทะลุขึ้นมายิงของ มาร์โก้ เดวิช ติดเซฟของ โจ ฮาร์ท แต่บอลไม่ไปไหน มันลอยกำลังจะเข้าประตู แต่ จอห์น เทอร์รี่
วิ่งไปหวดสกัดออกมาจากหน้าปากประตู
เหตุการณ์เกิดขึ้นในนาทีที่ 61.40
“จากภาพเร็ว” เห็นได้ว่า เทอร์รี่เตะออกมาจากเส้นประตูแบบก้ำกึ่งและหวุดหวิดสุด ๆ
“จากภาพช้า” เห็นได้ชัดว่า บอลข้ามเส้นไปแล้วแบบเต็มใบ และเข้าไปเยอะด้วย
มันไม่ได้จบแค่นั้น เพราะในครั้งนั้น ถือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ “ผู้ตัดสิน” เพิ่มมาอีก “2 คน” เพื่อยืนอยู่เส้นหลังเพื่อช่วยเหลือ “ผู้ตัดสินหลัก”
เหตุมันมาจากลูกยิงของ แฟรงค์ แลมพาร์ดกองกลางอังกฤษ ที่ซัดชนเข้าไปตั้งบาน แต่ผู้ตัดสินไม่ให้ไปประตูก่อนหน้านั้น2 ปี ในฟุตบอลโลก 2010 ยังผลให้อังกฤษ ตกรอบด้วยการแพ้ เยอรมนี สบาย 1-4
จบบอลโลก 2010 สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ในยุคของ เซปป์ แบล็ตเตอร์ ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ประชุมบอกว่า ให้เลือกได้เลยทั้ง “โกล์ไลน์ เทคโนโลยี” หรือ GLT มาช่วยเคลียร์ปัญหา
แต่ มิเชล พลาตินี่ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ที่เป็นพวก “อนุรักษ์นิยม” หรือ “สายคลาสสิก”ระบุว่า “ไม่จำเป็น” และจะทำให้ฟุตบอล “เสียศูนย์” เพราะจะสูญเสียความเป็นธรรมชาติไป
พลาตินี่ เสนอว่า ควรให้ “มนุษย์” ช่วยตัดสิน และทำให้ GLT ต้องถูกเบรก แล้วเลือก “ผู้ตัดสินอีกสองคน” มาช่วยทำงานโดยให้ยืนอยู่หลังเส้นประตู ในบอลยูโร 2012
เมื่อเกิดเหตุการณ์ในเกมนี้ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป
หัวหน้าผู้ตัดสินอย่าง ปิแอร์ ลุยจิ คอร์ริน่า อธิบายว่า เอาเข้าจริงลูกนั้นมีการล้ำหน้าอยู่ก่อนแล้วจาก อาร์เตม มิเลฟสกี้ และเป็นผู้ไปจ่ายบอลให้ โดวิช เข้าไปหมายยิงประตู
แต่ไม่มีใครหรอกที่สนใจ เพราะลูกนั้นที่ เทอร์รี่ เตะสกัดนั้น ปรากฏว่าอิสต์วาน แวด ผู้ตัดสินพิเศษที่ยืนอยู่ตรงนั้น เห็นเหตุการณ์แทบจะทิ่มตา เขาให้สัญญาณไปยัง วิคเตอร์ คาสไซ ผู้ตัดสินหลัก ที่มาจากฮังการีเหมือนกัน ว่า “ยังไม่เข้าประตู”
แวด วัย 33 ปี แทบจะต้องเสียอาชีพของเขาไปเลย เขาหายไปจากเวทีระดับนานาชาติตั้งแต่ช่วงเวลาแห่งความอับอายในโดเนตสค์ หลังจบแมทช์ ทีมตัดสินชุดนั้นที่เป็นชาวฮังการีทั้งหมดถูกส่งกลับบ้าน หลบเลี่ยงกลุ่มตากล้องและนักข่าวที่สนามบินเฟริเฮจีในบูดาเปสต์และปฏิเสธเพื่อตอบคำถามทุกข้อ
จากนั้น เรายังได้เห็น คาสไซ ลงทำหน้าที่ทั้งแชมเปี้ยนส์ลีก รวมถึงบอลโลก รอบคัดเลือก แต่สำหรับ แวด มันจบจริงๆ
คอลลิน่า ยอมรับข้อผิดพลาดของ แวด ว่าเป็น “ความผิดพลาดของมนุษย์ที่มนุษย์สร้างขึ้น และนี่เป็นปัญหาครั้งเดียวที่เรามีกับการทดลองนี้ในการแข่งขันประมาณ 1,000 นัด
หลังจากจบ ยูโร 2012 มีการเรียกประชุมด่วน แน่นอนที่สุดว่า พลาตินี่ ยืนยันการเปลี่ยนใจของเขาด้วยการประกาศว่า “GLT ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่นั่นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง”
ในที่สุดโลกฟุตบอลจึงใช้“โกลไลน์” อย่างเป็นทางการในฟุตบอลโลก 2014
ก็มาจาก อังกฤษ กับ ยูเครนนี่แหล่ะ………….
บี แหลมสิงห์
This website uses cookies.