Football Sponsored

ลองดูไหม “ปิยะพงษ์” เสนอชื่อ 3 กุนซือ คุมทีมชาติไทยแทน “นิชิโนะ” – ไทยรัฐ

Football Sponsored
Football Sponsored

วันที่ 18 มิ.ย. 64 ความเคลื่อนไหวหลังจากที่ ช้างศึก ทีมชาติไทย ไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง ด้วยการจบรองบ๊วยของกลุ่มจี จนทำให้มีบุคคลในวงการฟุตบอลออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมาย เกี่ยวกับอนาคตการคุมทีมของ อากิระ นิชิโระ หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวญี่ปุ่น ว่าสมควรได้รับโอกาสไปต่อหรือไม่

ล่าสุด ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตยอดกองหน้าทีมชาติไทย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านช่องยูทูบ แตงโมลง ปิยะพงษ์ยิง ว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงกุนซือทีมชาติไทยโดยใช้โค้ชชาวไทยนั่นก็มี 3 ตัวเลือกที่น่าสนใจนั่นก็คือ “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ประธานเทคนิคชลบุรี เอฟซี, “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน เฮดโค้ชของทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ของชลบุรี เอฟซี ส่วน “เซอร์เด็จ” จเด็จ มีลาภ กับ “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน เหมาะกับคุมระดับเยาวชนและยู-23 ตามลำดับมากกว่า

ปิยะพงษ์ กล่าวว่า “ถ้าจะเลือกโค้ชไทยมาคุม โค้ชแบน (ธชตวัน ศรีปาน) เป็นโค้ชที่สมบูรณ์แบบ เป็นโค้ชที่นักฟุตบอลให้ความเกรงใจ ถ้ามีการติดต่อกัน คลิกกัน ก็มีโอกาสเป็นไปได้ ส่วน จเด็จ มีลาภ กับ ดุสิต เฉลิมแสน น่าจะเหมาะกับการคุมทีมเยาวชนและยู-23 ตามลำดับ แต่ โค้ชเฮง (วิทยา เลาหกูล) คนนี้แหละที่เหมาะสมมากที่สุดในใจผม เพราะมีความรู้เรื่องฟุตบอล รู้ตื้นลึกหนาบาง เป็นนักวิเคราะห์วิจารณ์ที่ต้องบอกเลยว่าตรงประเด็น รู้ว่าทีมชาติกำลังขาดอะไร รู้วิธีการบริหารจัดการ สมองเป็นเลิศ และมีคอนเนกชั่นกับสมาคมฟุตบอล ดังนั้นคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับที่จะมาแทน นิชิโนะ ก็คือ โค้ชเฮง เอาคนใกล้ชิดนี่แหละ ผมเห็นว่าโค้ชเฮงมีความสามารถ ทุกอย่างที่เขาทำมาโปรไฟล์มันบอกอยู่แล้ว ควรเอามาใช้กับวงการฟุตบอลไทยเลย ตอนนี้ต้องโค้ชเฮง ถ้าเป็นผม ผมเลือกโค้ชเฮง ส่วนอีกคนคือ โค้ชเตี้ย สะสม พบประเสริฐ คนนี้แหละคาแรกเตอร์ชัดเจน รูปแบบเห็นชัดเจน สอนเป็นวิธีการ รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์ถูกต้อง เอามาใช้ได้ทุกกระเบียดนิ้ว เป็นโค้ชที่น่าสนใจมากและจะสร้างสีสันให้กับวงการฟุตบอลไทย มีความรู้ เคยเป็นนักเตะทีมชาติ ส่วนเรื่องความฮาร์ดคอร์ผมมองว่ามันเป็นเสน่ห์นะ คือนักบอลไทยต้องกระตุ้น ต้องบอก ไปนั่งเฉยๆ มันไม่ใช่ครับ”.

ชมคลิปเต็มที่นี่

Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.