แรกเริ่มเดิมที โชเซ่ ไปว่ายน้ำในเขื่อนแห่งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหายตัวไปแบบเป็นปริศนา ซึ่งหลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ระดมพลังกันตามหาชายวัย 57 ปีอย่างสุดชีวิตด้วยความหวังว่าจะยังสามารถช่วยเหลือเขาได้ ก่อนที่สุดท้ายจะต้องพบกับเรื่องอันน่าเศร้า
ไม่ต้องบอกก็คงจะพอคาดกันได้ว่าเรื่องในครั้งนี้คงทำให้ อลีสซง เสียใจเป็นอย่างมาก เพราะคุณพ่อของเขาคือหนึ่งในคนสำคัญที่ทำให้เขามาจนถึงจุดนี้ก็ว่าได้ และมันไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเท่านั้น แต่ยังมาจากการที่นี่คือผู้ที่มีอิทธิพลในการทำให้ อลีสซง สนใจมาเป็นผู้รักษาประตูด้วย
ต้องบอกก่อนว่าตระกูล เบ็คเกอร์ เป็นตระกูลที่มีผู้ชายชอบเล่นเป็นผู้รักษาประตูมาพักหนึ่งแล้ว ย้อนไปตั้งแต่ยุคของคุณปู่ของ อลีสซง มาจนถึง โชเซ่ ตามมาด้วย มูริเอล ซึ่งเป็นพี่ชายของ อลีสซง ก่อนจะมาถึงเจ้าของตำแหน่งมือ 1 ของ “หงส์แดง”
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้ อลีสซง เอาดีด้านการเป็นผู้รักษาประตูทั้งที่สมัยก่อนเด็กชาวบราซิเลียนมักจะสนใจเล่นเฉพาะในตำแหน่งแนวรุกนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เพราะเห็นพ่อเล่นแล้วอยากทำตามเท่านั้น แต่มันเป็นเพราะเขาประทับใจกับการที่คุณพ่อของเขามีอารมณ์ร่วมในการเล่นสูงมากๆ…แม้ว่า โชเซ่ จะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพก็ตาม
โชเซ่ นั้น สมัยที่ยังอายุน้อยกว่าในตอนนี้เขาเคยทำงานในโรงงานผลิตรองเท้า เพียงแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทมีการจัดการแข่งขันฟุตบอล หรือเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์นั้น โชเซ่ ก็จะร่วมทีมด้วยอยู่เป็นประจำ ซึ่งเขาก็เลือกเป็นผู้รักษาประตู และ อลีสซง ในวัยเด็กก็มักจะได้ชมการเล่นของคุณพ่ออยู่บ่อยๆ
ทั้งนี้ อลีสซง เคยบอกว่าคุณพ่อของเขาเป็นคนที่เล่นแบบกล้าหาญมากๆ เพราะกล้าทำเรื่องน่าเหลือเชื่อจนถึงขั้นที่ทำให้คนในสมัยนั้นหัวเราะออกมาได้ อย่างเช่นการตั้งใจเอาหัวเซฟลูกยิงหรือบล็อกทิศทางของบอลที่คู่แข่งจ่ายเข้ามาในกรอบเขตโทษ “ท่านไม่ลังเลเลยหากท่านจำเป็นต้องเอาหน้าเข้ารับลูกบอล หากมันจำเป็นต้องทำแล้วน่ะ ท่านก็ยินดีที่จะทำอย่างนั้น”
อาจจะเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับหลายคน แต่ว่า โชเซ่ นั้น เป็นคนที่หลงใหลในตำแหน่งผู้รักษาประตูมานานแล้ว ใช่ ต่อให้สมัยก่อนคนในบราซิลส่วนใหญ่จะมองว่านายทวารเป็นเพียงไม้ประดับ และให้ความสำคัญกับนักเตะในตำแหน่งเกมรุกมากกว่าตามสไตล์สายเลือดแซมบ้าที่ชอบ “บอลสวยงาม” ก็ตาม
ตอนที่ บราซิล ต้องลงเล่นศึก ฟุตบอลโลก 1998 รอบรองชนะเลิศกับ ฮอลแลนด์ นั้น โชเซ่ นั่งดูเกมแบบสดๆ ที่บ้านของญาติร่วมกับครอบครัวของเขา “เซเลเซา” ชุดนั้นมีนักเตะเอาท์ฟิลด์ (หมายถึงตำแหน่งอื่นๆ นอกจากผู้รักษาประตู) ชื่อดังอยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็น เบเบโต้, เลโอนาร์โด้, คาร์ลอส ดุงก้า, มาร์กอส คาฟู, เอแมร์สัน, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, ริวัลโด้ และดาวรุ่งพุ่งแรงวัย 21 ปีที่ชื่อว่า โรนัลโด้
ออร่าของนักเตะเหล่านั้นมันเจิดจ้ามากๆ จนแทบจะกลบตัวตนของ เคลาดิโอ ทัฟฟาเรล ผู้รักษาประตูมือ 1 ของทีมในตอนนั้นซะมิด โดยบางคนถึงขั้นมองว่า ทัฟฟาเรล เป็นจุดอ่อนที่สุดของทีมชุดนั้นด้วย ต่อให้เขาจะอยู่ในทีมชุดที่เป็นแชมป์โลกเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านั้นก็ตาม
ถึงกระนั้น โชเซ่ ไม่ได้มองว่า ทัฟฟาเรล เป็นจุดอ่อนของทีมเลย และพอ ทัฟฟาเรล ช่วยให้ บราซิล เอาชนะ ฮอลแลนด์ ในช่วงดวลเป้าไปได้หลังจากจบ 120 นาทีเสมอกัน 1-1 แล้วนั้น โชเซ่ ก็ดีใจมากๆ จนถึงขั้นวิ่งตรงเข้าไปในห้องครัว, เอาหัวโขกกับเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะกลับมาหาคนอื่นๆ ในสภาพที่มีไอซ์ซิ่งเปรอะอยู่ทั่วใบหน้าของเขา
“คุณพ่อของผมท่านเป็นผู้รักษาประตูที่เพี้ยนนิดๆ ท่านออกแนวเพี้ยนกว่าผมด้วยซ้ำ แต่บางครั้งคนเป็นผู้รักษาประตูก็ต้องทำแบบนั้นบ้างน่ะนะ” คือสไตล์การเล่นของ โชเซ่ ที่ อลีสซง เคยให้คำนิยามเอาไว้ และถึงแม้จนถึงตอนนี้ อลีสซง ยังดูไม่มีสไตล์เข้าขั้นที่จะเรียกว่า “เพี้ยน” ได้ แต่การได้เห็นคุณพ่อเล่นแบบนั้นมันก็มีส่วนทำให้เขาหลงใหลกับตำแหน่งนายทวารเหมือนกัน
– เด็กเกร็ดบอล –
This website uses cookies.