ถึงแม้ว่าการย้ายจาก ลิเวอร์พูล มาอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ของ ซาดิโอ มาเน่ จะผ่านมาได้พักใหญ่แล้ว แต่กระแสการย้ายทีมของเขายังถูกพูดถึงมากพอตัว โดยเฉพาะในประเทศเยอรมนี เพราะนี่คือหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้โดดเด่นตลอดช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ล่าสุด บาเยิร์น ได้ทำการสัมภาษณ์ดาวเตะชาวเซเนกัลในหลายประเด็น และแข้งวัย 30 ปีก็ให้คำตอบที่น่าสนใจเอาไว้หลายเรื่องด้วย ลองไปดูกันเลยว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
Q : ซาดิโอ เด็กๆ ตะโกนเรียกชื่อคุณกันดังสนั่นตั้งแต่ตอนที่คุณลงซ้อมครั้งแรกแล้ว พวกเขาตะโกนว่า “มาเน่ คุณเป็นคนที่เจ๋งที่สุด!” พวกเขาถึงขั้นปีนต้นไม้เพื่อที่จะดูคุณด้วยซ้ำ คุณรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า ?
Mane : ผมรู้ และมันก็ทำให้ผมดีใจมากๆ การที่เด็กๆ ลงทุนปีนต้นไม้เพื่อที่จะดูผมโดยเฉพาะมันสร้างแรงกระตุ้นให้กับผมได้เป็นอย่างดีเลย ตอนนี้ผมอยากทำให้ดีที่สุดทุกวันเพื่อทีมและเพื่อแฟนๆ ไม่ว่าจะทั้งในการซ้อมหรือในเกมการแข่งขัน
Q : นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นนักเตะใช่ไหมล่ะ การทำให้เด็กๆ มีความสุขจนตาเป็นประกายน่ะ ?
Mane : ผมคิดแบบนั้นนะ ผมยังจำสมัยที่ตัวเองเป็นเด็กได้จนถึงทุกวันนี้เลย ผมนับถือนักเตะชั้นยอดหลายคนและอยากเป็นแบบพวกเขาให้ได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไมการทำให้เด็กๆ มีความสุขผ่านทางการเล่นของผมจึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ก็อย่างที่หลายคนพูดกันนั่นแหละว่าเด็กๆ น่ะคือนักวิจารณ์ที่จะพูดตรงไปตรงมามากที่สุด
Q : สมัยเป็นเด็กใครคือไอดอลของคุณ ?
Mane : ไอดอลของผมในสมัยนั้นคือ โรนัลนินโญ่ กับ เอล ฮัดจิ ดิยุฟ ของ เซเนกัล พวกเขาเป็นนักเตะชั้นยอดเ ผมดูคลิปวิดีโอการเล่นของพวกเขาเป็นเวลาหลายชั่วโมง และพยายามเลียนแบบการเล่นทุกอย่างของพวกเขา
Q : คุณมีเสื้อของพวกเขาด้วยไหม ?
Mane : มีแน่นอนอยู่แล้ว คุณแม่ของผมท่านไปหาเสื้อของ เอล ฮัดจิ ดิยุฟ มาให้ผม และพอผมอายุมากขึ้นนิดหน่อยแล้วน่ะผมก็ซื้อเสื้อของ โรนัลดินโญ่ ด้วยตัวเอง ผมทำงานพิเศษ, หาเงิน และเก็บสะสมเงินเพื่อรอซื้อมันโดยเฉพาะ การได้สวมเสื้อที่มีชื่อของเขาอยู่ด้านหลังมันคือฝันที่เป็นจริงเลย ผมถึงขั้นไม่อยากถอดเสื้อออกด้วยซ้ำ แต่ละวันผมก็ใส่เสื้อตัวที่แตกต่างกัน”
Q : ทุกวันนี้คุณเป็นดาวดังระดับโลกแล้ว แต่คุณล่ะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้นไหม ?
Mane : หลายคนบอกว่าผมเป็นแบบนั้น แต่ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นสตาร์ระดับโลกเลยนะ ผมไม่รู้ว่ามันจะเริ่มจากจุดไหน สิ่งเดียวที่ผมให้ความสำคัญก็คือการเป็นส่วนหนึ่งของทีมเท่านั้น ผมทำทุกอย่างก็เพื่อสิ่งนั้น ผมอยากเล่นให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเพื่อนร่วมทีมของผม, ทำประตูให้ได้, ทำแอสซิสต์ให้ได้ และเก็บชัยชนะให้ได้ ผมมาที่นี่ก็เพื่อทำให้ดีที่สุดเพื่อ บาเยิร์น มิวนิค
Q : คุณคิดว่าตัวเองจะมีบทบาทแบบไหนกับ บาเยิร์น ? เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าการย้ายทีมในครั้งนี้ของคุณมันต่างจากอดีตที่คุณเคยต้องทำงานหนักเพื่อที่จะทำให้ตัวเองอยู่ในทีมได้
Mane : เมื่อคุณย้ายไปเล่นให้ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล หรือ บาเยิร์น ในตอนที่ยังมีอายุน้อยๆ น่ะ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย คุณยังต้องเรียนรู้หลายอย่างในทุกด้านของชีวิต ผมได้เรียนรู้หลายอย่างในอาชีพการเล่นของผม ผมพัฒนาตัวเองได้ทั้งในฐานะคนทั่วไปและในฐานะนักเตะ ตอนนี้ผมอยากนำทุกประสบการณ์ที่มีมาทำประโยชน์ให้กับทีมและช่วยให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีก เพื่อที่เราจะได้บรรลุทุกเป้าหมายของเราร่วมกันได้ ตอนนี้ผมเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์สูงแล้ว และรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะรับมือกับความกดดันได้ สำหรับผมแล้วความคาดหวังมันก็เป็นแรงกระตุ้นอย่างหน่ง มันผลักดันผมได้เป็นอย่างดี ท้ายที่สุดแล้วมันก็ช่วยให้ผมและทั้งทีมทำเป้าหมายของเราให้เป็นจริงได้
Q : อะไรทำให้คุณผูกพันกับ บาเยิร์น ? ทำไมสโมสรแห่งนี้ถึงพิเศษสำหรับคุณ ?
Mane : สมัยที่ผมอยู่กับ ซัลซ์บวร์ก ผมได้ดูเกมของ บาเยิร์น บ่อยมาก ขนาดหลังจากย้ายไปเล่นที่ อังกฤษ แล้วผมก็ยังตามดูเกม บุนเดสลีกา อยู่เสมอ ก่อนที่ผมจะย้ายมาอยู่กับที่นี่ผมก็ได้คุยกับ ติอาโก้ ด้วย เขาเล่าให้ผมฟังทุกอย่างเกี่ยวกับทีมและเมือง ทุกคนรู้ดีว่าอะไรคือเอกลักษณ์ของ บาเยิร์น ประโยค Mia san mia (แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า เราคือเรา) มันหมายความว่าสโมสรต้องสำคัญที่สุดอยู่ดเสมอ สิ่งที่สำคัญคือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว นั่นทำให้ บาเยิร์น พิเศษมากๆ ซึ่งผมก็เข้ากับปรัชญานี้ได้อย่างง่ายดาย เพราะผมเองเชื่อว่ามันเป็นหนทางที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ การหาเอกลักษณ์ให้เจอเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ นั่นเป็นสาเหตุที่ผมไม่ลังเลเลยเมื่อมีโอกาสที่จะได้ย้ายมาเล่นที่ มิวนิค
Q : หลายคนมองว่าคุณเป็นคนติดดดินและรักบ้านเกิดมาก ความคิดแบบนั้นมันมาจากไหน ?
Mane : ผมเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ของ เซเนกัล ที่ชื่อว่า บัมบาลี่ ผมเติบโตมาและเรียนหนังสือที่นั่น ในวัฒนธรรมของผมน่ะคุณพ่อคุณแม่ถือว่าสำคัญมากๆ คุณจะฟังพวกท่านและนับถือพวกท่าน ผมคิดว่าคุณค่าแบบนี้มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในทุกด้านของชีวิต และผมก็ซาบซึ้งในบุญคุณของพวกท่านที่ผมถูกเลี้ยงดูมาด้วยแนวทางแบบนั้น
Q : คุณกลับไปที่ เซเนกัล บ่อยแค่ไหน ? ตอนอยู่ที่นั่นมันรู้สึกยังไง ชีวิตนอกเหนือจากเรื่องฟุตบอลน่ะ ?
Mane : น่าเสียดายที่ช่วงหลายฤดูกาลมานี้ผมไม่เคยได้กลับไปที่นั่นเกิน 1 ครั้งต่อปีเลย เพราะตลอดช่วง 8 ปีที่ผมเล่นอยู่ในอังกฤษน่ะเรามีการพักช่วงกลางฤดูกาลแบบจริงจังแค่หนเดียว แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีเวลาผมก็จะกลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่และบรรดาเพื่อนเก่าของผมที่ บัมบาลี่ ให้ได้ มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ขนาดเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างจากหมู่บ้านของผมเยอะพอตัว ชีวิตที่นั่นมันต่างจากในยุโรปมากๆ ผมอธิบายเป็นคำพูดได้ยากน่ะนะ วัฒนธรรมเองก็แตกต่างกัน และสถานการณ์ที่คนที่นั่นต้องเจอก็ไม่ใช่เรื่องที่จะผ่านไปได้ง่ายๆ เลย สิ่งเหล่านั้นทำให้คุณยังทำตัวแบบติดดิน ตอนผมกลับไปยังที่นั่นผมก็กลับไปเป็น ซาดิโอ คนเก่าไปด้วย ผมเล่นฟุตบอลกับบรรดาเพื่อนเก่าของผมและเราก็ได้สนุกร่วมกัน ผมรู้สึกเพลิดเพลินอยู่เสมอเวลาได้กลับไปยังที่นั่น ประเทศของผมมีคนที่คลั่งไคล้ฟุตบอล 17 ล้านคน และตอนนี้ทุกคนก็เป็นแฟนบอล บาเยิร์น กันแล้ว ผมคิดว่าในฤดูกาลนี้คุณจะได้เห็นธงชาติเซเนกัลโบกสะบัดที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า เยอะเลยล่ะ”
Q : คุณช่วยออกเงินสร้างหลายอย่างให้กับหมู่บ้านของคุณ มันเป็นเพราะคุณอยากตอบแทนบ้านเกิดรึเปล่า ?
Mane : บัมบาลี่ ทำให้ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ดังนั้นการตอบแทนที่นั่นจึงถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผม ผมภูมิใจกับสิ่งที่ผมทำให้ผู้คนของที่นั่น ผมรู้ดีว่าจริงๆ แล้วชีวิตของพวกเขาเป็นแบบไหน การทำให้พวกเขายิ้มได้มันสำคัญกับผมมากๆ
Q : ไหนลองเล่าอาหารพื้นบ้านที่บ้านเกิดของคุณให้ฟังหน่อยสิ
Mane : มันมี ทีบูดิเอ็นเน่ ซึ่งเป็นข้าวที่มีน้ำมันกับปลา แต่เราชอบกินไก่หรือเนื้อชนิดอื่นเหมือนกัน แล้วก็ยังมี มาเฟ่ ซึ่งเป็นสตูว์ถั่วด้วย ผมชอบมันสุดๆ
Q : ทำไมคุณถึงเลือกใส่เบอร์ 17 กับ บาเยิร์น ล่ะ ?
Mane : ตอนที่มีการตัดสินใจเรื่องการย้ายทีมของผมแล้วน่ะผมก็ถามเลยว่ามันมีเบอร์ไหนที่ว่างอยู่บ้าง และผมก็เลือกเบอร์ 17 ผมรู้ดีว่านักเตะชั้นยอดหลายคนเคยใส่เบอร์นี้มาแล้ว แถมเบอร์ 17 ยังมาจากการบวกกันของเลข 10 กับ 7 ซึ่งเป็น 2 เบอร์ที่ผมชอบมากๆ ด้วย มันเป็นเบอร์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับผม
Q : สมัยอยู่ ซัลซ์บวร์ก คุณเคยแวะมาที่ มิวนิค บ้างไหม ?
Mane : ที่จริงผมเคยมาที่เมืองนี้ร่วมกับเพื่อนของผมหลายครั้ง แถมมีครั้งหนึ่งที่เราเคยมาที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า เพื่อดูเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่เจอกับ อาร์เซน่อล ด้วย ตอนนั้นผมยังไม่คิดเลยว่าสักวันหนึ่งผมจะได้มาเล่นที่นี่
Q : คุณเคยเข้าร่วมเทศกาลอ็อคโทเบอร์เฟสต์ (เทศกาลเบียร์) บ้างหรือยัง ?
Mane : โชคร้ายที่ผมยังไม่เคยได้ร่วมเทศกาลนั้นเลย แต่ผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมเทศกาลนั้น ทุกวันนี้ผมยังเก็บ เลเดอร์โฮเซน (เครื่องแต่งกายตามประเพณี) จากสมัยเล่นที่ ซัลซ์บวร์ก เอาไว้อยู่ที่บ้านของผมด้วย ผมเก็บมันเอาไว้เพราะผมชอบสวมมัน และผมก็สนใจวัฒนธรรมของที่อื่นมากๆ
Q : ทำไมถึงไว้ผมทรงนี้น่ะ ?
Mane : หมายถึงที่มีเส้นสีทองนี่น่ะเหรอ ? ผมไว้ทรงนี้มาได้ราว 10 ปีแล้ว ผมอยากทำในสิ่งที่ชาวบ้านเขาไม่ทำกัน และช่างตัดผมของผมก็เป็นคนเสนอไอเดียนี้ขึ้นมา ที่จริงตอนแรกผมก็ไม่อยากไว้ทรงนี้เท่าไหร่น่ะนะ เพราะผมรู้ดีว่าคุณพ่อคุณแม่ของผมท่านไม่เคยชอบอะไรแบบนี้เลย แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะเสี่ยงดู ตอนนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ของผมท่านอยู่ที่บ้านเกิดซึ่งห่างไกลจากผมเยอะ แต่แน่นอนว่าทันทีที่พวกท่านเห็นทรงผมของผมน่ะพวกท่านก็โทรศัพท์มาถามผมเลยว่า “ซาดิโอ นี่ลูกทำอะไรกับผมของลูกน่ะ ? มันดูไม่ดีเลย จัดการกับมันซะ!” ซึ่งช่วงแรกๆ ที่กลับไปยังบ้านเกิดน่ะผมก็ยอมจัดการกับมันอยู่บ้างน่ะนะ แต่พอกลับมาที่ยุโรปผมก็จะย้อมผมเป็นสีนั้นอีกครั้ง จนทุกวันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ของผมท่านก็คุ้นเคยกับมันด้วยไปแล้ว และพวกท่านก็ยอมรับมันแล้วล่ะ”
Q : งั้นมาเดิมพันกันดีไหม ? ถ้าคุณได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเยิร์น คุณต้องย้อมเป็นสีแดง ตกลงไหม ?
Mane : โอเค ผมเอาด้วย! ถ้าผมได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมจะย้อมเป็นสีแดงนะ”
Q : บางทีไม่นานหลังจากนี้เด็กๆ ในนครมิวนิคตามท้องถนนและในสนามฟุตบอลอาจจะไว้ผมทรงเดียวกับคุณก็ได้นะ
Mane : ผมว่าอย่าดีกว่า! ผมไม่อยากให้เด็กๆ มีปัญหากับคุณพ่อคุณแม่ของพวกเขาเพราะผมน่ะ (หัวเราะ)”
This website uses cookies.