“สิงโตคำราม” อังกฤษ เต็งหนึ่งของการแข่งขัน จะพบกับ “โคนม” เดนมาร์ก ซึ่งเป็นทีมเต็งลำดับสุดท้าย ในศึกยูโร 2020 รอบรองชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ คืนวันที่ 7 กรกฎาคม เวลา 02.00 น. (เช้ามืดวันที่ 8 กรกฎาคม) ถ่ายทอดสดทางเอ็นบีที เอชดี 2
ทีมสิงโตคำรามกำลังอยู่ในช่วงที่มั่นใจถึงขีดสุด หลังจากถล่มเอาชนะยูเครนไปได้ถึง 4-0 ทำให้ตอนนี้กลายเป็นทีมเดียวที่ยังไม่เสียประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ ขณะที่เดนมาร์ก หลังจากแพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 2 นัดแรก ก็เดินหน้าเก็บชัยชนะมาได้ตลอด รวมถึงรอบที่ผ่านมากับสาธารณรัฐเช็ก จนมาถึงรอบตัดเชือกได้สำเร็จ
อังกฤษนั้นนับว่าเป็นการเข้ารอบรองชนะเลิศ 3 รายการใหญ่ติดต่อกัน นับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018, ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก 2019 และยูโร 2020 อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่เคยผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว จากการเข้ารอบตัดเชือก 2 ครั้ง (1968, 1996)
ในขณะที่เดนมาร์ก นี่เป็นการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศครั้งที่ 4 และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลยูโร 1992 ซึ่งครั้งนั้นสุดท้ายพวกเขาสร้างตำนานเทพนิยายเดนส์ ด้วยการเป็นแชมป์ในที่สุด ส่วนอีก 2 ครั้งที่เหลือในปี 1964, 1984 ไม่สามารถเข้าถึงรอบชิงได้
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
อังกฤษ
ชนะ ยูเครน 4-0 (ยูโร 2020)
ชนะ เยอรมนี 2-0 (ยูโร 2020)
ชนะ สาธารณรัฐเช็ก 1-0 (ยูโร 2020)
เสมอ สกอตแลนด์ 0-0 (ยูโร 2020)
ชนะ โครเอเชีย 1-0 (ยูโร 2020)
เดนมาร์ก
ชนะ สาธารณรัฐเช็ก 2-1 (ยูโร 2020)
ชนะ เวลส์ 4-0 (ยูโร 2020)
ชนะ รัสเซีย 4-1 (ยูโร 2020)
แพ้ เบลเยียม 1-2 (ยูโร 2020)
แพ้ ฟินแลนด์ 0-1 (ยูโร 2020)
สถิติการพบกัน
สถิติการเจอกันของทั้งสองทีมที่ผ่านมา เจอกันมาทั้งหมด 21 ครั้ง โดยอังกฤษเอาชนะได้ถึง 12 ครั้ง และเสมอกัน 5 ครั้ง ในขณะที่เดนมาร์กเอาชนะได้เพียง 4 ครั้งเท่านั้น ทว่าการเจอครั้งล่าสุดในศึกยูฟ่า เนชั่นส์ลีก เดนมาร์กบุกมาเอาชนะถึงเวมบลีย์ได้ 1-0 จากประตูชัยของคริสเตียน อีริกเซ่น
นอกจากนี้ การเจอกันเพียงครั้งเดียวในฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย คือเมื่อปี 1992 ในเกมแรกของรอบแบ่งกลุ่ม ที่จบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0 โดยที่จบรอบดังกล่าวอังกฤษตกรอบด้วยการไม่ชนะใครเลย ส่วนเดนมาร์กนั้นเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม
สภาพทีม
สภาพความพร้อมของอังกฤษนั้น หลังจากล้างใบเหลืองในรอบที่ผ่านมาทำให้ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือของทีม สามารถจัดผู้เล่นลงสนามได้อย่างสมบูรณ์ โดยจะได้บูกาโย่ ซาก้า ที่หายจากอาการบาดเจ็บกลับมายึดตำแหน่งปีกขวาคืนจากเจดอน ซานโช่ ส่วนแนวรับยังใช้ชุดเดิมทั้งหมดหลังไม่เสียประตูเลยในทัวร์นาเมนต์นี้
ขณะที่แคสเปอร์ ยุลมันด์ นายใหญ่ทีมโคนม จะไม่เปลี่ยน 11 ตัวจริง หลังจากทำผลงานได้ดี ส่วนอันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่มีอาการบาดเจ็บช่วงท้ายเกมเจอกับเช็กนั้น ไม่น่ามีปัญหาสามารถลงเล่นร่วมกับซีมอน แคร์ และยานนิก เวสเตอร์การ์ด ได้ ขณะที่ยุสซุฟ โพลเซ่น จะได้ออกสตาร์ตจากม้านั่งสำรองก่อน
11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
อังกฤษ : จอร์แดน พิกฟอร์ด, ไคล์ วอล์กเกอร์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุก ชอว์, คาลวิน ฟิลลิปส์, ดีแคลน ไรซ์, บูกาโย่ ซาก้า, เมสัน เมาท์, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, แฮร์รี่ เคน
เดนมาร์ก : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, ซีมอน แคร์, ยานนิก เวสเตอร์การ์ด, เยนส์ สไตรเกอร์ ลาร์เซ่น, โธมัส เดลานีย์, ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก, โยอาคิม เมห์เล, มาร์ติน เบรตเวธ, มิกเกล ดัมสการ์ด, แคสเปอร์ โดลเบิร์ก
สรุป
ทีมสิงโตคำรามอยู่ในช่วงมั่นใจสุดขีด และฟอร์มการเล่นเองก็ถือว่าไต่ระดับขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ เกมนี้พวกเขาได้เปรียบในการเล่นในบ้าน ท่ามกลางแฟนบอลกว่า 50,000 คน อีกด้วย ฉะนั้น ถือว่าได้เปรียบฝั่งเดนมาร์กทุกด้านจริงๆ
สิ่งที่เดนมาร์กจะนำมาสู้ได้คือความมั่นใจของตัวเอง ที่ล่าสุดเคยบุกมาเอาชนะได้ที่สนามเวมบลีย์นี่เอง อีกทั้งยังมีแรงใจที่พวกเขาใช้มาตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ ที่พอจะเอามาบดสู้กับอังกฤษได้
แต่ชั่วโมงนี้มองว่าอังกฤษมีประสบการณ์จากความผิดหวังเมื่อ 3 ปีก่อน และจะใช้คุณภาพผู้เล่นที่เหนือกว่า บดเอาชนะไปได้ในที่สุด
This website uses cookies.