เรียกได้ว่าถือว่าเป็นการพลิกล็อกแบบสุดๆ ในศึกยูโร 2020 ครั้งนี้เลยก็ว่าได้สำหรับเกมที่ สวิตเซอร์แลนด์ พลิกล็อกเอาชนะ ฝรั่งเศสไปได้ด้วยการยิงจุดโทษ 5-4 หลังจากเสมอในเวลา 120 นาที 3-3 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไปดวลกับสเปนที่เครื่องติดบดเอาชนะโครเอเชีย สุดมันส์เช่นกัน 5-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
เกมที่สาธารณรัฐเช็กโค่นฮอลแลนด์ลงได้ก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นเกมที่พลิกล็อกแล้ว มาเจอกับแข้ง “นาฬิกา” เอาชนะ “ตราไก่” ถือว่าเกมนั้นดูเป็นรองเลยทีเดียว
ก่อนเกมระหว่างฝรั่งเศส กับสวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีใครคาดคิดว่า สวิตฯจะรอดพ้นเงื้อมมือของ “ตราไก่” ไปได้ ก็เพราะลูกทีมของดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เดินลงสนามในเกมนี้ในฐานะแชมป์โลก
แถมขุมกำลังถ้าไล่ไปแล้วเหนือกว่าทาง สวิตเซอร์แลนด์อยู่หลายช่วงตัว ไม่ว่าจะเป็น คิเลียน เอ็มบัปเป, อองตวน กรีซมันน์, คาริม เบนเซมา, ปอล ป็อกบา, เอ็นโกโล ก็องเต เรียกได้ว่าขานชื่อไปน้อยคนนักจะไม่รู้จัก
พอมาดูแข้งสวิตเซอร์แลนด์ ตัวชูโรงที่ คุ้นหูจริงๆ มีแค่ กรานิต ซากา, เชอร์ดาน ชากิรี, บรีล เอ็มโบโล, ยานน์ ซอมเมอร์ และฮาริส เซเฟโรวิช เท่านั้น
เรียกได้ว่าเอาค่าตัวนักเตะของสวิตเซอร์แลนด์มาบวกกันยังไม่เท่ากับค่าตัวของเอ็มบัปเป กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสเลย
แต่พอลงสนามไปเป็นสวิตเซอร์แลนด์ที่ทำได้ดีกว่าออกนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 15 จาก เซเฟโรวิช แถมยังสามารถต้านแนวรุก “ตราไก่” ที่ขึ้นชื่อว่าสุดอันตรายได้จนจบครึ่งแรก
แม้ว่าครึ่งหลังฝรั่งเศสจะตั้งลำได้และมายิงแซง 3 ประตูรวด ผ่านมาถึงนาทีที่ 75 “เลอ เบลอส์” นำอยู่ 3-1 เหลืออีก 25 นาที เวลาเยอะก็จริง เชื่อว่าไม่มีใครคาดคิดว่าแข้งนาฬิกาจะกลับมาตามตีเสมอได้
ก่อนนาทีที่ 81 เซเฟโรวิช คนเดิมก็มาบวกสกอร์ให้สวิตฯ ไล่มา 2-3 ก่อนช่วงเวลาที่เหลือจะโหมใส่แนวรับฝรั่งเศสอยู่ฝ่ายเดียว และมาตามตีเสมอได้จาก มาริโอ กาฟราโนวิช นาทีสุดท้าย จบ 90 นาที สวิตฯ ตามตีเสมอ ฝรั่งเศส ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ก่อนสุดท้ายต้องดวลจุดโทษตัดสินปรากฏว่า 4 คนแรกทั้งสองทีมยิงเข้าทั้งหมด คนที่ 5 ของสวิตฯ แอดเมียร์ เมห์เมดี ยิงเข้าไป ก่อนคนที่ 5 ของฝรั่งเศส เป็นคิเลียน เอ็มบัปเป จะต้องยิงให้เข้าเพื่อตีเสมอ ก่อนที่เอ็มบัปเปจะยิงไปติดมือของซอมเมอร์ ทำให้สวิตเซอร์แลนด์ เอาชนะไปได้ในที่สุด
เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายของเอ็มบัปเปเลยทีเดียวสำหรับในศึกยูโรครั้งนี้ เพราะก่อนหน้านี้กองหน้าวัย 22 ปี ถูกยกให้เป็นตัวความหวังของทีมชาติฝรั่งเศส หลังจากสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย
ไม่ว่าจังหวะจบสกอร์ที่เฉียบคม หรือการกระชากลากเลื้อยด้วยความเร็วที่ยากจะมีใครตามทัน ทำให้ในยูโรครั้งนี้สปอตไลต์หันมาจับจ้องที่เอ็มบัปเปค่อนข้างมากเลยทีเดียว
กลายเป็นกองหน้าวัย 22 ปี ไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้เลยตลอดทั้ง 4 นัด แถมยังไม่สามารถยิงประตูได้อีกเลยแม้แต่ลูกเดียว
หากเปรียบกับฟุตบอลโลก 2018 อะไรๆ ก็เข้าทางเอ็มบัปเปไปหมดจนคว้าแชมป์โลกมาครอง แถมยิงได้ถึง 4 ประตู
แต่ฟุตบอลยูโร 2020 กลับตรงกันข้ามทำอะไรก็ไม่เป็นใจทำได้แค่แอสซิสต์เดียวเท่านั้น
เสมือนฝันร้ายของ “เอ็มบัปเป” ที่อยากจะตื่นให้ไวที่สุด!!
มะระหวาน
This website uses cookies.