วันอาทิตย์ ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ขุดไอเดียเก่ากลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง ด้วยการขอมติจากที่ประชุม เพื่อเปลี่ยนระบบการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก จากเดิม 4 ปีครั้ง ให้เป็น 2 ปีครั้ง
ฟีฟ่าจัดประชุมใหญ่สามัญ ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมี จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานฟีฟ่าเป็นประธาน พร้อมกับประเทศสมาชิกของฟีฟ่าเข้าร่วมครบองค์ประชุมทั้ง 211 ประเทศ รวมถึงผู้แทนจากสภาโอลิมปิกนานาชาติ ผู้แทนจากสหประชาชาติ และผู้แทนจากสหพันธ์ฟุตบอลของทุกทวีป โดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้มอบหมายให้ นายพาทิศ ศุภะพงษ์เลขาธิการสมาคมฯ เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุม
โดยมติสำคัญในที่ประชุมอนุมัติให้ฟีฟ่าทำการศึกษาความเหมาะสม หากต้องมีการปรับฟุตบอลโลกมาแข่งทุกๆ 2 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศสมาชิกนำเสนอแนวคิดการปรับเปลี่ยนระยะเวลาการแข่งขันฟุตบอลโลกชายและหญิงรวมทั้งรายการระดับเยาวชน ให้มีความถี่มากขึ้นปรากฏว่า ที่ประชุมต่างเห็นชอบในเบื้องต้นกับแนวคิดนี้มากถึง 166 ชาติ โดยมีทั้งหมด 22 ชาติ ที่ไม่เห็นด้วย
ภายหลังการประชุม อินฟานติโน่ เปิดเผยว่า ประเด็นการแข่งขันที่จะปรับมาเป็น 2 ปีครั้งเราต้องเข้าสู่การศึกษาประเด็นนี้อย่างจริงจัง และต้องศึกษากันอย่างเปิดกว้าง ไม่เพียงแต่บริบทที่ว่า เปิดใจกว้างเท่านั้น เราต้องคิดถึงโปรแกรมการแข่งขันที่เกิดขึ้นได้จริงระหว่างประเทศ เพราะมีรายละเอียดที่ลึกซึ้ง และค่อนข้างละเอียดอ่อนกับตัวนักฟุตบอล รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
“โปรแกรมการแข่งขันในประเทศ และการเดินทางแข่งขันระหว่างประเทศคือปัจจัยที่สำคัญมากๆ เราต้องให้ความสำคัญกับองค์ประกอบด้านกีฬาเป็นลำดับแรก ไม่ใช่ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบด้านธุรกิจเป็นหลัก”
ฟุตบอลโลก จัดขึ้นทุกๆ 4 ปีนับตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรกในปี 1930 ที่ประเทศอุรุกวัย และทำการจัดแข่งมาตลอดยกเว้นในปี 1942และ 1946 เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วน ฟุตบอลโลกหญิง นั้นเริ่มจัดขึ้น 4 ปีครั้ง ตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมา
หลังจากข่าวนี้ออกมามีการวิเคราะห์วิจารณ์เป็นวงการกว้าง โดยเฉพาะแฟนบอลในโลกออนไลน์ ที่ไม่เห็นด้วย โดยเหตุผลที่นอกจากจะทำให้เสียมนต์เสน่ห์ของกีฬาฟุตบอลแล้ว ยังกระทบต่อการแข่งขันระดับนานาชาติอื่นๆ อาทิ การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ทวีปต่างๆ ที่จะต้องจัดขึ้นทุก 4 ปีเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ฟีฟ่า ได้มีแนวคิดว่า จะเพิ่มทีมให้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายจากเดิม 32 ทีม เป็น 48 ทีม แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด
This website uses cookies.