ครั้งสุดล่าสุดที่เจอเรอัล มาดริด รอบแบ่งกลุ่มย้อนไป พ.ย. 2014
ยุค เบรนดัน รอดเจอร์ส คุม
เกมนั้นเหมือนโยนผ้ายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่แข่ง
โค้ชวิชาการ พักตัวหลักดาวเด่นข้างสนาม
เจอร์ราร์ด, ราฮีม, คูตินโญ, เฮนโด สำรอง
ส่ง มาร์ดกวิช, บอรินี, โจ อัลเลน, มานกิโย ตัวสำรองลง
ผลคือแพ้ยับ..
เกมนั้น รอดเจอร์ส แก้ตัวว่า “ไม่เห็นจะเป็นบิ๊กแมตช์อะไรที่ผมต้องส่งนักเตะมีชื่อลง”
“หลายคนมองว่าเสี่ยง แต่ผมคิดว่าไม่”
จากเกมนั้นลิเวอร์พูลใช้ตัวหลักลงสนามพบเชลซี ก็แพ้ไป 2-1
นั่นคือซีซั่นสุดท้ายของ เจอร์ราร์ด…และเกมที่ต้องเจอเรอัล มาดริด
จากนั้นอีกเกือบปีต่อมา รอดเจอร์ส โดนไล่ออก คลอปป์ มาคุมทีมแทน
ก่อนเกมนัดนี้มีข่าวร้ายฝั่งเรอัล มาดริด เมื่อ ราฟาแอล วาราน ติดโควิด
เท่ากับว่า “ชุดขาว” ขาดสองเซนเตอร์แบ๊กตัวเก่ง ไปจากทีม
ส่วนลิเวอร์พูลชั่วโมงนี้เต็มสูบ แค่จะจัดใครเล่นตัวรุกดี
โชต้า ลงตัวจริงแล้วใช้สี่คนเลย หรือว่า ฟีร์มีโน พัก
ตัวอื่นๆก็น่าจะพอมองกันได้ว่าใครบ้าง
ครึ่งแรกหงส์แพ้ขาด
ซีเนอดีน ซีดาน แก้ปัญหาที่ไม่มี รามอสและ วาราน
รวมทั้งทีมรับไม่พร้อมนัก คาร์บาฆาล ยังเล่นไม่ได้
เขาใช้ มิลิตาว เล่นเซนเตอร์กับ นาโช ซึ่งก็คาดการณ์กันได้
แบ๊กขวา ลูคัส บาสเกส แบ๊กซ้าย เมนดี ไม่ได้เล่นหลังสามเหมือนเกมล่าสุด
กลางสามคน คือชุดที่ชนะลิเวอร์พูล ในนัดชิง 2018
โครส, กาเซมิโร และ ลูกา โมดริช
ข้างหน้า เบนเซมา, วินิซิอุส ทางซ้าย และ อเซนซิโอ ที่ทอปฟอร์มทางขวา
ไม่มี โรนัลโด, ไม่มีเบล ไม่มีรามอส, วาราน
ส่วน คลอปป์ เลือก โชต้า ลงตัวจริง และ เกอิต้า
นอกนั้นชุดเดิมจากนัดชนะอาร์เซนอล
1 ราชัน แม่นกว่า เล่นเกมได้ดีกว่า
10 นาทีแรกเรอัล มาดริด เปิดฉากเพรสแดนบนและแดนสอง
ขณะที่เด็กหงส์ดูเซื่องๆ เหมือนยังไม่ตื่นนอน
รับส่งบอลง่ายๆ เสีย บ่อยมาก ทำให้ขึ้นเกมไม่ได้
เทร้นต์ นี่ส่งบอลเสียหลายครั้ง เกมเป็นของเรอัล มาดริด
ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเป็นรอง เรอัล คุมเกมได้หมด
นักเตะเรอัล เคลื่อนที่เร็ว และรับส่งบอลกันแม่นยำกว่าชัด
แดนกลาง โครส, กาเซมิโร และ โมดริช คุมเกมได้หมด
20 นาทีผ่านไปก็ไม่ดีขึ้น เป็นรองชัดเจน
ขณะที่ ขุนพลราชัน รับส่งบอลแม่น เคลื่อนที่เร็ว
แทบไม่เสียบอล …ซึ่งสวนทางกับฝั่งหงส์แดง
เสียบอลกันหลายคน ถ้าจะมีใครเล่นได้คงเป็น โอซาน คาบัค
2 เกมรับพลาด 2 ดอก
จนกระทั่ง น.26 เหมือนไม่มีอะไรกดดัน
โครส เปิดบอลยาวจากแดนตัวเองระยะ 60 หลา
บอลลอยข้ามหัว แนต ฟิลิปส์ ถึง วินิซิอุส ที่พักอกแล้วพาหนี แนต
ก่อนยิงสวนทาง เบคเกอร์ พ่อหนวดงามเข้าไป
จังหวะนี้ เทร้นต์ ก็เพลินกับเกม มองเห็น วินิซิอุส แต่มาช้า
จังหวะไม่เป็นใจ บอลเข้าทาง วินิซิอุส พอดี
โดนน 1-0 ยิ่งหนัก เกมเป็นรองสู้ไม่ได้เลย
แล้วก็เสียประตูสอง จากการเล่นผิดพลาด
โครส เปิดบอลไปทาง เทร้นต์ ซึ่งวิ่งลงคุมพื้นที่
เจ้ากรรม…เทร้นต์ ดันโหม่งบอลไม่ดี
เหมือนชงให้ อเซนซิโอ เข้าไปหลอก เบคเกอร์ ยิงง่ายๆ
ตลอดครึ่งแรกเล่นแล้วสู้ไม่ได้จริงๆ
เรอัล มาดริด เหนือกว่าเรื่องวิธีการเล่น
แย่กว่านั้นคือ ราชันยิง 8 เข้ากรอบ 3 ได้ 2 ลูก
ลิเวอร์พูล ยิง 0 ครั้ง นี่คือครั้งแรกที่ไม่ได้ยิงในครึ่งแรก
นับจาก พ.ย. 2014 ที่โดนเรอัล มาดริด ถล่มยุค รอดเจอร์ส นั่นละครับ
ครึ่งหลังห้านาทีแรกเด็กหงส์เปิดฉากลุยใส่
กดดันจนได้ประตูสำคัญนอกบ้าน 2-1
จังหวะที่ โชต้า เลี้ยงลุยเข้าเขตโทษแล้วยิงแป้ก
บอลเข้าทาง ซาลาห์ จัดการไม่เหลือ มีเช็ควีเออาร์ ว่าล้ำมั้ย
แต่ไม่ล้ำ…
จากนั้นเกมดีขึ้น…ขณะที่ เรอัล มาดริด เล่นบอลตามจังหวะ
เน้นเกมด้านข้างเพื่อโจมตี แบ๊กสองฝั่ง….
จนกระทั่งได้ประตูนำ 3-1 น.65 จากลูกทุ่มด้านข้างฝั่ง รอบโบ
เบนเซมา, โมดริช หลอก ฟาบินโญ จ่ายง่ายๆให้ วินิซิอุส แปเข้าไป
แนต ยืนห่างไม่อ่านเกม ส่วน เบคเกอร์ ก็เซฟลูกนี้ไม่ได้
เหมือนยิงตรงเป็นตุงเหมือนกัน…
หลายเหตุผลที่หงส์แพ้เกมนี้….
1 คุณภาพนักเตะ เรอัล มาดริด
เรอัล มาดริด มีกองกลางระดับโลกสามคน
เทคนิคส่วนตัวดี รับส่งบอลแม่น เสียการครองบอลยาก
จ่ายบอลเสียยากมาก คุมจังหวะการเล่นได้ รู้ว่า ช้าหรือเร็ว เอาตัวรอดยังไง
สามคนนี้คือหัวใจในการชนะหงส์แดงเกมนี้
ส่วนแนวรุกนั้น พวกเขามีหน้าที่เร็ว คล่องอย่างวินิซิอุส มี เบนเซมา ที่เก๋าเกม
อเซนซิโอ กำลังมั่นใจเพราะยิงนัดนี้ก็สี่นัดรวดแล้ว
2 แผนของ ซีดาน
เขารู้ดีว่า กองหลังของเขาไม่แข็งแกร่งดังนั้น เขาใช้กองกลางกับกองหน้าเล่นเกมให้
เพื่อลดภาระความกดดันของเกมรับตัวเอง
แทกติกขึ้นเพรสซิง ลิเวอร์พูล ก่อนเลยเพื่อให้เสียบอล เล่นเกมไม่ได้ ซึ่งก็ตามนั้น
พอหงส์เสียประตู ทุกอย่างง่ายละ กองหลังเรอัล ที่ไม่ใช่ตัวหลัก แทบไม่ต้องเหนื่อยหรือกดดันกับเกมรุกหงส์ เพราะบอลมาไม่ถึงตลอดครึ่งแรก
พอครึ่งหลัง รอสวนได้ สกอร์นำ 2-0 เล่นง่ายกว่า
การวางแผนนัดนี้เพื่อไม่ให้ แนวรุกหงส์แดงได้เล่นบอลง่ายๆหรือไม่ได้เล่นบอลเลย
มันก็เป็นไปตามนั้นตลอดครึ่งแรก
ครึ่งหลังเขาก็รับเพื่อรอสวน
3 ความผิดพลาดระดับยุโรป
พลาดเรื่องการประกบคนในเกมรับ
พลาดเรื่องการรับส่งบอลพื้นฐาน เสียบ่อย
แค่พลาดครั้งสองครั้งเนี่ย เสียประตูได้เลย
เล่นระดับยุโรป ผิดพลาดแล้วโดนลงโทษทันที
4 จังหวะโจมตีหงส์ ดูช้า
หลายจังหวะที่ได้บอลรุก ทำช้า ไม่เร็วเหมือนก่อน
จังหวะจะโคนเลย ไม่ไหลลื่น
พอตัดบอลได้ จะเข้าทำ ช้า นักเตะเรอัล เข้ามาติดตัวเร็ว
บอลไม่ไปข้างหน้า โอกาสโจมตีก็หายไป
มาเน เองก็ล้มง่ายไปหน่อย ในหลายจังหวะ
ไม่เก็บบอลเล่นหรือครองบอลเล่นให้ได้
โชต้า ยังไม่ประสานงานกันกับ มาเน และ ซาลาห์ เท่าที่ควร
เมื่อต้องเล่นเป็นตัวจริง
5 กองหลังยังไม่ผ่าน
เข้าใจว่า เจอร์เก้น คลอปป์ ต้องแก้ปัญหาเกมรับ
ณ จุดนี้คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ คือแก้ปัญหาระยะสั้น
เล่นได้ดีมาสามสี่นัด ในพรีเมียร์ลีก สามคลีน ชีต
แต่ถ้าบอลระดับคุณภาพอย่าง ช.ป.ล มันต้องเนี้ยบกว่าพรีเมียร์ลีก
ว่ากันตรงๆ คงไม่เพียงพอ
จังหวะ 1-0,3-1 แนต ฟิลิปส์ พลาดชัดเจน
ประตูแรกนั้นเคลื่อนที่ช้า ตามประสากองหลังตัวสูงโย่ง
ประตูสาม อ่านเกมไม่ขาด ยืนคุมโซน ไม่อ่านเกม
ปล่อยให้ วินิซิอุส ยืนแปว่างๆ ลูกนี้ ต้องดันขึ้นมาตัดบอลหรือทำให้ วินิซิอุส ยิงยาก
คาบัค พอใช้ได้ ยังพัฒนาได้ ขึ้นกับคลอปป์ ละว่าจะมองเซนเตอร์แบ๊กยังไง
6 มาเน ฟอร์มตกเกินไป
หลายๆจังหวะ มันสะท้อนออกมาจากเกมการเล่นของเขา
เสียบอลบ่อย, ล้มบ่อย, ครองบอลไม่ได้เหมือนที่เคยทำได้
ความแข็งแกร่งหายไป
จังหวะจะโคนไม่ขาดก็เกิน
ทำไงดีละทีนี้
ความพ่ายแพ้ 3-1 เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่า…
เรอัล มาดริด เล่นได้ดีกว่า ในคุณภาพของเกม
เกมรับลิเวอร์พูล คือปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก
ถ้าถามว่านัดที่สองในแอนฟิลด์ จะยังไง
ได้ประตูนอกบ้านมาหนึ่ง แต่พลังหนุนหลังไม่มี ขาดแฟนบอล
ความฮึกเหิมเหมือนที่เคยทำได้กับบาร์ซ่านั้นหายไป
ปัจจัยนี้ตัดทิ้ง..มันต้องเป็นวิธีการเล่นเกมของทีมละครับ
ความหวังยังมีครับ
แต่ คลอปป์ ต้องทำให้ลูกทีมเล่นบอลหรือคุมเกมให้เหนือกว่า
นัดนี้ แพ้ทั้งสกอร์และวิธีการเล่น ราบคาบ
นัดหน้าถ้าหวังเข้ารอบ…ต้องไม่ให้เรอัล มาดริด ได้คุมเกม
บีบให้รับอย่างเดียว และต้องไม่ให้โต้กลับง่ายๆ
แนวคิดนั้นง่าย แต่แนวปฏิบัติ นั้นยากเสมอ
This website uses cookies.