Football Sponsored
Categories: ฟีฟา

ไม่หวั่นแม้มาช้า! Prime Video พร้อมแล้วที่จะบุก ‘สมรภูมิวิดีโอสตรีมมิงไทย’

Football Sponsored
Football Sponsored

ซุ่มให้บริการในไทยมาพักใหญ่ๆ ในที่สุด Prime Video แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงที่มีเบื้องหลังเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ของโลกอย่าง Amazon ก็พร้อมแล้วที่จะบุกสมรภูมิไทยอย่างเป็นทางการ

ในการให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ทั้ง ‘จอช แมคไอเวอร์’ ผู้อำนวยการฝ่ายขยายธุรกิจระหว่างประเทศ Prime Video และ ‘เอริกา นอร์ท’ หัวหน้าฝ่ายผลงานออริจินัลประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Amazon Studios ได้ยอมรับว่า พวกเขามาช้าในสมรภูมิดังกล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ดีไซน์ใหม่! ฟีลใหม่! Amazon ยกเครื่องแอปสตรีมมิงของตนอย่าง ‘Prime Video’ แล้วในรอบหลายปี แม้ถูกมองว่าคล้าย Netflix ก็ตาม

“ความจริงคือเราค่อนข้างช้าสำหรับการเข้าไปให้บริการในหลายประเทศ เช่น อินเดีย บราซิล ญี่ปุ่น แต่หลังจากนั้นเราก็สามารถที่จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการรายสำคัญในประเทศนั้นๆ ได้ จากการเตรียมพร้อมในทั้งส่วนของเนื้อหา การทำความเข้าใจผู้คนท้องถิ่น การทำการตลาด ช่องทางการขาย”

ผู้บริหารของ Prime Video ขยายความต่อว่า แนวทางที่ทำให้ Prime Video สามารถประสบความสำเร็จและให้บริการได้อย่างใส่ใจมากกว่า เกิดจากการให้ความสำคัญอย่างมากกับการเล่าเรื่องที่น่าสนใจของประเทศนั้นๆ โดย Prime Video ต้องการที่จะทุ่มเทเวลา พลังงาน และเงินทุน เพื่อสร้าง Local Contents ที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนบริการระดับโลก

หนึ่งในหลักการที่สำคัญของ Amazon คือความหลงใหลลูกค้า (Customer Obsession) หมายถึง การรับฟังสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และสิ่งหนึ่งที่ลูกค้าในแต่ละประเทศรวมถึงประเทศไทยบอก คือพวกเขาต้องการเนื้อหาที่มีคุณภาพจากสหรัฐฯ (Us International Contents) แต่ในขณะเดียวกัน Local Contents ก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับพวกเขาอย่างมาก 

Media Partners Asia (MPA) ออกรายงานประจำไตรมาส 1/22 ที่ระบุว่า Netflix เป็นเจ้าตลาดวิดีโอสตรีมมิงไทยด้วยสัดส่วน 24% ตามด้วย WeTV 22% และ Viu 13% ที่เหลือ 41% เป็นแพลตฟอร์มอื่นๆ 

สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ที่ตามในอันดับ 2 และ 3 ต่างมีโมเดลที่ ‘ดูฟรี’ จึงไม่แปลกหากจะมีจำนวนผู้ชมที่สูงในขณะที่ Prime Video ได้ทำโปรโมชันจาก 179 บาทต่อเดือนเป็น 149 บาท ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม หลังจากนั้นราคาจะเป็นเท่าไรจะมีการกำหนดอีกครั้ง

“เราคิดว่าไม่ใช่แค่ลูกค้าในไทย (ที่สนใจดูฟรี) แต่หลายประเทศทั่วโลกก็เป็นเช่นนี้ ภารกิจของเราคือการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพในระดับพรีเมียม และคุ้มค่าที่จะเสียเงินให้ ซึ่งเรามั่นใจว่าลูกค้ายินดีที่จะจ่ายเงินค่าบริการหากเนื้อหาที่มีนั้นดีกว่าเนื้อหาที่ได้รับจากแพลตฟอร์มที่ไม่ต้องชำระเงิน” จอชกล่าว

“บนความรับผิดชอบของเรา เรามีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ค่าบริการที่เรากำหนดเป็นราคาที่ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่า เราจำเป็นจะต้องนำเสนอเนื้อหาที่คุ้มค่าและโดดเด่น ทั้งในส่วนของ International Content, Local Content และ Original Content ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ผู้บริโภคเชื่อว่ามีความคุ้มค่า นั่นคือภารกิจ (Mission) ของเรา” 

จะเห็นได้ว่า Prime Video มองเรื่องเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้พวกเขาสามารถเจาะเข้าไปยังผู้บริโภคคนไทยได้ เบื้องต้นได้มีการสร้าง Amazon Original เรื่องแรกของประเทศไทยอย่าง Comedy Island: Thailand รูปแบบรายการคอเมดี้โชว์สุดท้าทายที่ต้องด้นสดไปตามสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง โดยมีกำหนดออกอากาศในปี 2566 บน Prime Video ในประเทศไทย และอีก 240 ประเทศทั่วโลก 

และในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ Prime Video จะออกอากาศผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ของผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด (Ron Howard) อย่างเรื่อง Thirteen Lives (สิบสามชีวิต) นำแสดงโดย วิกโก มอร์เทนเซน และ โคลิน ฟาร์เรล รวมถึงนักแสดงชาวไทย อย่าง เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ, เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ, พลอย-ภัทรากร ตั้งศุภกุล, ตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ, ตุ้ย-ธีรภัทร์ สัจจกุล และ ปู-สหจักร บุญธนกิจ เป็นต้น

ภาพยนตร์ Thirteen Lives (สิบสามชีวิต) นั้นเล่าถึงเรื่องจริงอันน่าทึ่งของความพยายามครั้งยิ่งใหญ่ระดับโลก ในการช่วยเหลือทีมฟุตบอลไทยที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงระหว่างเกิดพายุฝนตกกระหน่ำน้ำท่วมทะลักอย่างไม่คาดคิด

“ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีเนื้อหาด้านตลก สยองขวัญ แอ็กชัน และระทึกขวัญที่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม เราค่อนข้างเปิดกว้างสำหรับเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ สำหรับก้าวแรกของเราคือเนื้อหาตลก ซึ่งเราคาดหวังว่าจะเป็นเนื้อหาที่ช่วยให้ผู้ชมได้ผ่อนคลายหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน และจะเป็นเนื้อหาที่ทำให้ผู้ชมถูกอกถูกใจ และช่วยแชร์เรื่องราวออกไป” เอริกากล่าว

ขณะที่จอชเสริมว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามั่นใจ เป็นเพราะว่าเราทำสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศก่อนหน้านี้ และอย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่า ในประเทศอย่างอินเดียหรือบราซิล เราก็สามารถขยับมาเป็นผู้ให้บริการอันดับต้นๆ แม้ว่าจะเข้าไปเจาะตลาดช้ากว่าคู่แข่ง แต่ด้วยการลงทุนให้กับการผลิต Local Contents ได้ช่วยให้เราสามารถไล่ทันคู่แข่ง

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไทยกว่า 26 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 3 รับชม Content ผ่าน OTT (Over-The-Top) ซึ่งใช้เวลาดูคอนเทนต์ออนไลน์เหล่านี้ ประมาณ 1-3 ชั่วโมงต่อวัน และ 92% ของคนไทยใช้ OTT มากกว่า 1 แพลตฟอร์ม

จากผลสำรวจพบว่า ในปี 2563 รายได้ภาพยนตร์และวีดิทัศน์เฉพาะสตรีมมิงมากกว่า 38,003 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของอุตสาหกรรม และรายได้เพลงเฉพาะสตรีมมิงทั้งไทย เกาหลี มีมากกว่า 1,700 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของอุตสาหกรรม และในปี 2566 คาดว่า ยอดคนไทยดูสตรีมมิงจะอยู่ที่ 2.10 ล้านราย หรือคิดเป็น 3.04% ของประชากรไทยทั้งหมด

แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Netflix, Viu, Disney+ Hotstar, iQIYI และ WeTV แต่ผู้บริหารของ Prime Video กลับไม่ได้กังวลมากนัก 

“ในความเป็นจริงแล้ว เรากังวลเกี่ยวกับลูกค้ามากกว่าคู่แข่ง ลูกค้าคือผู้ที่สำคัญมากกว่า” จอชกล่าว “เราไม่ได้กังวล (กับการแข่งขัน) มากเท่าใดนัก เรามีสิ่งที่จะต้องทำมากมายที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกมากมายที่สามารถดึงดูดความสนใจไป ไม่เฉพาะแค่บริการสตรีมมิงอย่างเรา แต่ยังมีตัวเลือกอื่นๆ เช่น วิดีโอเกม หรือแหล่งบันเทิงต่างๆ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องโฟกัสที่การดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภค ซึ่งหัวใจสำคัญที่จะบรรลุเป้าหมายคือ การพัฒนาบริการที่ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ากับเวลาและเงินที่จ่ายให้”

ในโอกาสนี้ Prime Video ได้ดึง ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ มาร่วมทำแคมเปญเพื่อสร้างการรับรู้ในไทย โดยวันที่ 1 สิงหาคมนี้ นอกจากไทยแล้ว อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็จะเป็นอีก 2 ประเทศที่มีการบุกอย่างเป็นทางการด้วย

ในปีที่แล้ว Prime Video ซึ่งเป็นบริการวิดีโอสตรีมมิงของ Amazon มีผู้ใช้บริการมากกว่า 175 ล้าน ในมากกว่า 240 ประเทศทั่วโลก ส่วน Prime ซึ่งเป็นบริการออนไลน์ต่างๆ ของ Amazon เช่น ช้อปปิ้งแบบเอ็กซ์คลูซีฟ, บริการด้านความบันเทิง, ส่วนลดต่างๆ ฯลฯ มีสมาชิกมากกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก

อ้างอิง:

  • https://media-partners-asia.com/AMPD/Q1_2022/SEA/PR.pdf

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.