ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ประจำค่ำคืนวันที่ 14 เมษายน 2564 เป็นการพบกันของอดีตคู่ชิงเมื่อปี 2018 ระหว่าง ลิเวอร์พูล พบกับ เรอัล มาดริด จากการพบกันนัดแรกเป็นฝ่าย มาดริด เปิดบ้านชนะไปก่อน 3-1 ซึ่งถ้าเจ้าของแชมป์ยุโรป 6 สมัยอยากผ่านเข้ารอบต้องชนะด้วยผลต่าง 2 ประตูขึ้นไปเท่านั้น
นาทีที่ 2 เจ้าบ้านเกือบได้ประตูขึ้นนำก่อน เป็นจังหวะที่ มาเน่ ปาดบอลมาจากฝั่งซ้ายให้ ซาลาห์ โฉบมายิงเน้นๆ แบบไม่จับแต่บอลไปติดขาของ กูร์กตัวส์ นิดเดียว ทำเด็กหงส์เสียดายทั่วแผ่นดิน
นาทีที่ 11 เจ้าถิ่นที่เครื่องกำลังร้อนจากจังหวะ ซาลาห์ พาบอลแหวกมาทางขวาได้สวยก่อนเปิดเข้ากลาง ฟิร์มิโน่ ต่อบอลมาให้ มิลเนอร์ เกี่ยวบอลได้แล้วบรรจงปั่นโค้งๆ แบบน้าหังบริเวณนอกกรอบ บอลจะเสียบสามเหลี่ยมอยู่แล้วแต่ กูร์กตัวส์ โชว์บินปัดบอลแบบดิจิดอลรักษาสกอร์ไว้ได้
นาที 66 มาดริด เกือบได้ประตูขึ้นนำ บัลเบร์เด้ โยนยาวจังหวะเดียวจากริมเส้นด้านขวาไปให้ วินิซิอุส ใช้ความเร็วกระชากหนี ฟิลลิปส์ หลุดเดี่ยวเหน่งๆ ไปยิงแต่ อลิสซอน ออกมาเซฟอย่างดุดันแล้วตามมาตะครุบบอลก่อนที่ เบนเซม่า จะเข้ามาซ้ำ
นาที 70 เจ้าบ้านพยายามสุดชีวิต โรเบิร์ตสัน เติมมาทางฝั่งซ้ายก่อนไหลบอลมาให้ โชต้า พลิกเข้ากรอบเขตโทษได้สวยแล้วกระชากไปยิงมุมแคบแต่ว่าสุดท้ายแฉลบก่อนบอลพุ่งเข้าหน้าต่าง ทำได้แค่เซ็งเท่านั้น
จบเกม 90 นาทีไม่มีประตูเกิดขึ้น ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเสมอ เรอัล มาดริด ไป 0-0 ส่ง “ราชันชุดขาว” เข้าไปดวลกับ เชลซี ในรอบรองชนะเลิศ ด้วยสกอร์รวม 3-1 โดยรอบตัดเชือกจะแข่งขันในวันที่ 27 และ 28 เมษายนที่จะถึงนี้
ผู้เล่นตัวจริง ลิเวอร์พูล (ระบบการเล่น 4-3-3) : อลิสซอน เบคเกอร์ (ผู้รักษาประตู) – เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์, โอซาน คาบัค, นาธาเนียล ฟิลลิปส์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – จอร์จินิโอ ไวล์นัลดุม, ฟาบินโญ่, เจมส์ มิลเนอร์ (กัปตันทีม) – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่
ผู้เล่นตัวจริง เรอัล มาดริด (ระบบการเล่น 4-3-3) : ธิโบต์ กูร์ตัวส์ (ผู้รักษาประตู) – เฟรเดริโก้ บัลเบเด้, เอแดร์ มิลิเตา, นาโช่ เฟอร์นานเดซ, แฟร์ล็องด์ ม็องดี้ – ลูก้า โมดริช, กาเซมิโร่, โทนี่ โครส – มาร์โก อเซนซิโอ้, คาริม เบนเซม่า (กัปตันทีม) , วินิซิอุส จูเนียร์
This website uses cookies.