เป็นเกมที่สนุกมากจริงๆ สำหรับซูเปอร์บิ๊กแมตช์ ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านพบกับ ลิเวอร์พูล ในเวอร์ชั่น คาราบาว คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนจะเป็น เรือใบสีฟ้า เฉือนเอาชนะไปอย่างสุดมันส์ 3-2
เกมนี้เหมือนเป็นการลั่นกลองรบว่า ฟุตบอลสโมสร กลับมาเตะกันอย่างเต็ม หลังจบ ฟุตบอลโลก 2022 ประเทศกาตาร์ เพราะบรรดาแข้งตัวท็อป พาเหรดกันโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทั้ง 2 ฝั่ง ไม่ว่าจะเป็น เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์, เควิน เดอ บรอยน์ หรือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ดังนั้น เกมนี้มีอะไรเกิดขึ้น และ ต้องพูดถึงบ้าง ไปติดตามกันครับ
– ถึงเวลาฉายของ ฮาแลนด์
ในช่วง ฟุตบอลโลก 2022 เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ไม่มีบทเลยสักนิด เนื่องจากทีมชาตินอร์เวย์ ไม่ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย แต่หลังจาก เวิลด์ คัพ สิ้นสุดลง ก็ได้เวลากลับมาทวงบัลลังค์หน้าสื่อโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค อีกครั้ง เพราะแค่นัดแรกที่คัมแบ็กลงสนาม เขาใช้เวลา 10 นาที สามารถทำประตูให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ทันที ด้วยการวิ่งโฉบตัดหน้า โจ โกเมซ ก่อนจะดีดบอลเข้าไปซุกตาข่าย ให้ทีมขึ้นนำ 1-0
ส่งผลให้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กลายเป็นนักเตะ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่สามารถทำประตูได้เยอะที่สุดรวมทุกรายการในซีซั่นนี้ โดยซัลโวไปถึง 24 ประตู จาก 19 เกมที่ลงเล่น เรียกว่าบอลลีกหยุดไป 1 เดือนเต็มๆ แต่ไม่ได้หยุดความร้อนแรงของ “จอมมารบู” เลยสักนิดเดียว
ที่สำคัญคนแอสซิสต์ให้กับ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ทำประตู ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์คู่ใจ เพราะ ฟุตบอลโลก 2022 “เคดีบี” พยายามปั้นให้เพื่อนๆในทีมชาติเบลเยี่ยม จนเหนื่อย แต่จบสกอร์กันไม่ได้ พอเป็น ฮาแลนด์ ก็เข้าล็อคทันที ซึ่งส่งผลให้ เดอ บรอยน์ เป็นนักเตะ พรีเมียร์ลีก ที่ทำแอสซิสต์เยอะสุดมากถึง 13 ครั้ง ในซีซั่นนี้รวมทุกรายการ
– ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ซัดตีเสมอให้ ลิเวอร์พูล
ถึงแม้ว่ารูปเกมของ ลิเวอร์พูล จะเป็นรองค่อนข้างเยอะ และ หวิดจะโดนลูก 2 อยู่เหมือนกัน เนื่องจากทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ขาดลูกทีมคนสำคัญไปเยอะ โดยเฉพาะกองหลัง ไม่ว่าจะเป็น เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, อิบราฮิม่า โกนาเต้ หรือ ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ตัวตัดเกม
แต่กระนั้น ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ที่เกมนี้ได้โอกาสออกสตาร์ทเป็นจริง ก็ตอบแทนด้วยการทำประตูตีเสมอ 1-1 ให้กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งจังหวะนี้ต้องชื่นชม โจเอล มาติป ที่เติมขึ้นมาเหมือนเป็นเพลย์เมกเกอร์ จ่ายทะลุแผงแนวรับ แมนฯ ซิตี้ ไปให้ เจมส์ มิลเนอร์ ในกรอบเขตโทษ ก่อนปาดมาให้ “นิว คูตินโญ่” แปเล่นทางเสียบมุมเข้าไป
ต่อให้ คาร์วัลโญ่ จะยังไม่ได้ฉายแสงมากนัก และ ฟอร์มยังไม่น่าประทับใจสาวก เดอะ ค็อป มากเท่าไหร่ นับตั้งแต่ออกสตาร์ทซีซั่น แต่ทว่าผลงานของเขาก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าดีวันดีคืน เหลือเพียงแค่จังหวะสุดท้ายที่ต้องทำให้เฉีบยขาดมากกว่านี้ ทั้งการจ่ายและจบสกอร์ กระนั้นอย่างน้อยๆตอนนี้ คาร์วัลโญ่ ก็ซัดให้ หงส์แดง ไปแล้ว 3 ประตู รวมทุกรายการ
– ลิเวอร์พูล เจอโรคเดี้ยงเล่นงานทันที
ข่าวแว่วๆมาว่า ลิเวอร์พูล ไม่มีงบเสริมทัพนักเตะดังๆในช่วงเดือนมกราคม นี้ ก็เจ็บปวดใจมากอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บตามเล่นงานนักเตะในทีมแบบไม่หยุดหย่อนเหมือนเดิม โดยก่อนหน้านี้ หลุยส์ ดิอาซ ก็มาเดี้ยงเพิ่มพักยาวไปถึงเดือนมีนาคม
เท่านั้นยังไม่พอ สาเหตุที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ไม่มีชื่ออยู่ในเกมบุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นเพราะว่ามีอาการบาดเจ็บบริเวณน่อง ยังไม่รู้ว่าต้องพักนานแค่ไหน แต่โชคดีที่มีข่าวว่าไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด อีกหนึ่งนักเตะที่ต้องสังเวยให้กับอาการบาดเจ็บ ก็คือ เจมส์ มิลเนอร์ คนทำแอสซิสต์ โดยเจ้าตัวถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามนาทีที่ 36 ยังไม่รู้ว่าต้องพักนานแค่ไหน แต่มันเป็นข่าวที่ไม่สู้ดีสำหรับ ลิเวอร์พูล อย่างแน่นอน เพราะนับตั้งแต่วันนี้ จนถึงช่วงปีใหม่ พวกเขาต้องลงเตะ 4 นัด ในรอบ 10 วัน ดังนั้นความฟิตของนักเตะ ถือเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
– ครึ่งหลังลงมาปุ๊บ ยิงกันยับปั๊บ
ต่อให้ฟุตบอลคู่นี้ลงฟาดแข้งตี 3 ตามเวลาประเทศไทย แต่ใครที่ดูถ่ายทอดสด ไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอน แน่ๆ เพราะนอกจากครึ่งแรกจะมี 2 ประตูให้ดูแล้ว ครึ่งหลังเริ่มต้นมายังไม่ถึง 2 นาทีเศษ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ออกนำ ลิเวอร์พูล อีกครั้ง เป็น 2-1
จากจังหวะที่ โรดรี้ ได้บอลตรงกลางสนาม บรรจงหยอดไปให้กับ ริยาด มาห์เรซ ในกรอบเขตโทษ ก่อนจะแตะบอลโยกหลอก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 1 จังหวะ และ ซัดด้วยซ้ายบอลพุ่งเสียบเสาสองเข้าไปอย่างเฉียบคม
อย่างไรก็ตาม แค่ไม่กี่อึดใจ ลิเวอร์พูล ก็มาตามตีเสมอได้อีกครั้งเป็น 2-2 ในจังหวะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ดีดไซด์ก้อยให้กับ ดาร์วิน นูนเญซ สปีดฉีกกองหลัง เรือใบสีฟ้า ก่อนจะปาดมาให้กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ วิ่งยิงเข้าไปง่ายๆ ซึ่งประตูนี้ของ บังโม ส่งผลให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงใส่ แมนฯ ซิตี้ ในยุค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้ถึง 10 ประตู
– เดอ บรอยน์ เกิดมาเพื่อแอสซิสต์ !!
ความผิดหวังของ เบลเยี่ยม ยุค โกลเด้น เจเนเรชั่น ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรให้กับ เควิน เดอ บรอยน์ เลยสักนิดเดียว เพราะเมื่อเขากลับมาบัญชาเกมให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ยังคงโชว์ฟอร์มร่างทอง พร้อมแจกจ่ายการทำแอสซิสต์ให้กับเพื่อนๆได้เหมือนเดิม
หลังจาก เดอ บรอยน์ ทำแอสซิสต์ให้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ยิงประตูขึ้นนำ 1-0 ได้แล้วนั้น เขาก็ยังทำหน้าที่สร้างสรรค์เกมได้สมบูรณ์แบบ และ เกือบทำแอสซิสต์ได้อีกหลายครั้ง เพียงแต่เพื่อนๆจบสกอร์กันไม่ได้เท่านั้นเอง
จนสุดท้ายแอสซิสต์ของ เดอ บรอยน์ มาสัมฤทธิ์ผลอีกครั้ง จากการเละเตะมุมสั้น และ กองกลางทีมชาติเบลเยี่ยม วางบอลแบบโหดๆข้ามกองหลัง ลิเวอร์พูล ไปตรงเสาสอง ให้กับ นาธาน อาเก้ ขึ้นโขกแบบไม่มีตัวประกบ พาทัพ เรือใบสีฟ้า ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 3-2 และ เป็นประตูชัยของทีม โดยแอสซิสต์นี้ก็เป็นแอสซิสต์ที่ 14 ของ เดอ บรอยน์ ในซีซั่นนี้แล้ว บอกเลยว่าซีซั่นนี้อาจมีชาลเลนจ์จ่ายให้เพื่อนซัลโวคู่แข่งถึง 30 ครั้ง ก็เป็นได้ใครจะไปรู้ !!
– แชมป์เก่าตกรอบ
จะบอกว่า เป็นศึกแชมป์ ปะทะ แชมป์ เลยก็ว่าได้ เพราะ ลิเวอร์พูล ถือศักดิ๋เป็นแชมป์เก่า ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ก็เป็นแชมป์ คาราบาว คัพ ถึง 4 ครั้ง ในรอบ 5 ปีหลังสุด โดยทั้ง 2 ทีม ก็ไม่ได้เจอกันแค่ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เท่านั้น เนื่องจาก ฟุตบอลถ้วย ก็จับสลากมาเจอกันอยู่บ่อยๆ อย่างซีซั่นก่อน หงส์แดง เคยเอาชนะ เรือใบสีฟ้า 3-2 ในศึก เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ
อย่างไรก็ตาม คราวนี้ถึงทีของ แมนฯ ซิตี้ ได้ล้างแค้น ลิเวอร์พูล คืนบ้าง ด้วยการส่งแชมป์เก่าร่วงตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นที่เรียบร้อย พร้อมกรุยทางสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายอย่างเต็มภาคภูมิ ไปพบกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเป็นทีมเต็งแชมป์ โดยมี อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นคู่แข่งสำคัญ
ขณะที่ ลิเวอร์พูล การตกรอบ คาราบาว คัพ ทำให้การลุ้นแชมป์ในซีซั่นนี้ คงเหลือเพียงแค่ 2 ถ้วยเท่านั้น นั่นคือ เอฟเอ คัพ กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เนื่องจาก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีแต้มหลัง อาร์เซน่อล ไกลโพ้น และ เจอร์เก้น คล็อปป์ เอง ก็ยอมยงธงขาวไปแล้ว ดังนั้นต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้ว หงส์แดง จะมีอะไรติดไม้ตือมือเมื่อซีซั่นจบลงหรือไม่
ฮาย ฮาวดี้
This website uses cookies.