Football Sponsored
Categories: ฟีฟา

“วัคซีนไฟเซอร์” ทำไม สิงคโปร์ ได้เป็นฐานผลิตในเอเชีย ? – (ฟุตบอล)

Football Sponsored
Football Sponsored
REUTERS/Stephane Mahe/File Photo

เปิดเหตุผล เหตุใดผู้ผลิตยายักษ์ใหญ่จากเยอรมนีอย่าง “ไบโอเอนเทค” จึงเลือกสิงคโปร์เป็นฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ ในเอเชีย

วันที่ 10 พฤษภาคม 2564 เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่า “ไบโอเอนเทค” บริษัทผู้ผลิตยาสัญชาติเยอรมัน ซึ่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ทางบริษัทผลิตร่วมกับ “ไฟเซอร์ อิงก์” ในสหรัฐอเมริกา เป็นวัคซีนโควิดตัวแรกที่สหรัฐฯและยุโรปอนุมัติใช้เมื่อปีที่แล้ว ได้ประกาศตั้งโรงงานผลิตวัคซีนแห่งใหม่ในสิงคโปร์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตั้งเป้าผลิตวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) ให้ได้หลายร้อยล้านโดสต่อปี

การเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตวัคซีน รวมถึงการรักษาโรคติดเชื้อและมะเร็งให้กับไบโอเอนเทค นอกจากนี้ยังเพิ่มความมั่นใจเรื่องความรวดเร็วในการผลิต เพื่อรับมือโรคระบาดต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ข่าวนี้มีขึ้นท่ามกลางความพยายามของสิงคโปร์ ซึ่งต้องการสร้างภาคอุตสากรรมที่เกี่ยวกับชีวการแพทย์และเภสัชกรรม โดยการใช้มาตรการจูงใจดึงดูดบริษัทต่าง ๆ

บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ อย่างไบโอเอนเทค กำลังจัดหาวัคซีนโควิดชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอให้กว่า 90 ประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตได้กว่า 3 พันล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ 2.5 พันล้านโดส

ทั้งสิงคโปร์และฮ่องกงต่างก็ใช้วัคซีนโควิดของไบโอเอนเทค โดยที่สิงคโปร์มีการพัฒนาร่วมกับไฟเซอร์ ขณะที่ฮ่องกงได้รับการกระจายวัคซีนจาก บริษัท เซี่ยงไฮ้ โฟซุน ฟาร์มาซูติคอล กรุ๊ป ของจีน

เว็บไซต์ของไบโอเอนเทคเผยว่า จะตั้งสำนักงานในสิงคโปร์ และเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตในปีนี้ โดยโรงงานดังกล่าวจะเปิดดำเนินการได้เร็วสุดในปี 2566 และจะสร้างงานได้มากกว่า 80 ตำแหน่ง

เว็บไซต์ไบโอเอนเทคเผยด้วยว่า โรงงานแห่งนี้จะเป็นโรงงานของไบโอเอนเทคแห่งแรกที่อยู่นอกเยอรมนี นอกจากนี้ยังเป็นโรงงานแห่งแรกที่อยู่นอกยุโรปและอเมริกาอีกด้วย

“ไรอัน ริชาร์ดสัน” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายยุทธศาสตร์ไบโอเอนเทค ให้สัมภาษณ์กับ This Week in Asia ว่า สาเหตุที่เลือกสิงคโปร์เป็นฐานการผลิตวัคซีนในเอเชีย เนื่องจากสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมระดับโลก อีกทั้งยังมีจุดเด่นหลายประการ ที่ทำให้บริษัทอยากร่วมงานด้วย”

ผู้บริหารไบโอเอนเทคกล่าวอีกว่า สิงคโปร์มีบรรยากาศที่เหมาะกับการทำธุรกิจเป็นอย่างยิ่งสำหรับบริษัท ที่ต้องการตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

สื่อสิงคโปร์รายงานว่า “อูกูร์ ซาฮิน” ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไบโอเอนเทค เผยว่า มูลค่าการลงทุนในสิงคโปร์อยู่ระหว่างหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“เรามองว่าการลงทุนของไบโอเอนเทคในสิงคโปร์เป็นการลงทุนระยะยาว และเป็นการลงทุนที่นอกเหนือไปจากโควิด” เขากล่าวและว่า การมีโรงงานในสิงคโปร์หมายความว่า จะมีวัคซีนที่ผลิตจากโรงงานแห่งนี้ในจำนวนแน่นอนส่งให้กับสิงคโปร์

ไบโอเอนเทคและไฟเซอร์เพิ่งจะออกใบอนุญาตและร่วมมือด้านการผลิตกับบริษัทยาอื่น ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตวัคซีน และเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการกระจายวัคซีนอย่างกว้างขวาง ซึ่งวัคซีนดังกล่าว รวมถึงวัคซีนของบริษัทเมิร์คในสหรัฐฯ, โนวาร์ตีสจากสวิตเซอร์แลนด์ และซาโนฟีในฝรั่งเศส

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไบโอเอนเทคประกาศว่าจะตั้งบริษัทร่วมทุนมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ กับ บริษัท เซี่ยงไฮ้ โฟซุน ฟาร์มาซูติคอล กรุ๊ป ของจีน เพื่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนให้ได้จำนวนมากถึง 1 พันล้านโดสต่อปี

“เจอโรม คิม” ผู้อำนวยการใหญ่ สถาบันวัคซีนนานาชาติ ใน กรุงโซล เกาหลีใต้ เผยว่า การที่บริษัทต่าง ๆ ทำงานร่วมกันเพื่อผลิตวัคซีนโควิดนั้น นับเป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา” พร้อมกับเน้นย้ำว่า ความสามารถของบริษัทต่าง ๆ ในการรับมือกับวิกฤตนี้ โดยขยายกำลังผลิตผ่านบริษัทที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ได้วัคซีนคุณภาพสูง

เขากล่าวอีกว่า การที่ไบโอเอนเทคใช้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นฐานผลิตทำให้เกิดพลวัตในภูมิภาค ซึ่งมีประชากรรวมกัน 655 ล้านคน และการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยเรื่องการบริหารจัดการวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอได้

วัคซีนป้องกันโควิด ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ หรือ เมสเซนเจอร์ อาร์เอ็นเอ ซึ่งเป็นวัคซีนที่โรงงานในสิงคโปร์จะผลิต เป็นเทคโนโลยีที่สอบให้ร่างกายสร้างโปรตีนที่มียอดแหลมคล้ายกับที่พบในไวรัสโคโรนา ซึ่งโปรตีนตัวนี้จะช่วยฝึกการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน หากร่างกายเกิดไปสัมผัสกับไวรัสเข้าจริง ๆ ในภายหลัง ภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งยังจำการตอบสนองต่อโปรตีนที่มียอดแหลมได้ จะออกไปต่อสู้กับไวรัส

โมเดอร์นาก็ใช้เทคโนโลยีเดียวกันนี้ในการผลิตวัคซีนของตัวเอง

REUTERS/Edgar Su

คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ (อีดีบี) ซึ่งเป็นคณะกรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย อยู่ภายใต้กระทรวงการค้าสิงคโปร์ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับมาตรการจูงใจที่เสนอให้กับโบโอเอนเทค โดยอ้างว่าต้องรักษาความลับ

อย่างไรก็ตาม “โกห์ วาน ยี” รองประธานอาวุโสด้านการดูแลสุขภาพของอีดีบี กล่าวว่า บริษัทยายักษ์ใหญ่หลายแห่งที่ดำเนินการในสิงคโปร์ เช่น ไฟเซอร์, ซาโนฟี และจีเอสเค ล้วนได้ประโยชน์จากจุดเด่นของสิงคโปร์ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเชื่อมต่อระดับโลก

เธอบอกด้วยว่า ที่สิงคโปร์ยังมีนวัตกรรมที่เกิดจากการเติบโตของสตาร์ทอัพด้านสุขภาพ เทคโนโลยี และอวกาศ ตลอดจนบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ ที่ต้องการพัฒนาและร่วมมือด้านดิจิทัล

เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทยาข้ามชาติของฝรั่งเศสอย่าง “ซาโนฟี” ได้ประกาศความร่วมมือกับอีดีบี โดยซาโนฟีทุ่มลงทุน 400 ล้านยูโร ในระยะ 5 ปี เพื่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนในสิงคโปร์ ซึ่งจะสร้างงานได้ 200 ตำแหน่ง

โดยการสร้างโรงงานในสิงคโปร์ของซาโนฟีครั้งนี้จะช่วยเรื่องโซ่อุปทานในเอเชีย และช่วยเพิ่มกำลังผลิตที่มีอยู่ในยุโรปและอเมริกาเหนือ ทั้งนี้ ซาโนฟีจะเริ่มก่อสร้างโรงงานในสิงคโปร์ในไตรมาส 3 ปีนี้

รัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญเรื่องการสร้างภาคการผลิตทางชีววิทยาและเภสัชกรรมเป็นอุตสาหกรรมหลักมานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ไม่ใช่ประเทศเดียวที่กำลังมองหาวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลออสเตรเลียได้ลงทุนกว่า 350 ล้านเหรียญออสเตรเลีย เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีน และขณะนี้ออสเตรเลียสามารถผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าผ่านความร่วมมือกับบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ข้ามชาติอย่าง ซีเอสแอลได้ ทว่าแทนที่จะเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ แอสตร้าเซนเนก้ากลับเป็นวัคซีนชนิดที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ

Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.