นั่นทำให้พวกเขาเปิดหัวศึกฟุตบอลโลก 2022 มาด้วยแมตช์แรกที่ทำให้ความศรัทธา และความเชื่อมั่นของแฟนบอลลดฮวบไปกว่าครึ่ง ทีมชาติอาร์เจนตินา อันดับ 3 ของโลก ลงสนามพบกับ “เศรษฐีน้ำมัน” ทีมชาติซาอุดีอาระเบีย อันดับ 51 ของโลก ในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มซี เริ่มเกมในครึ่งแรกไปได้เพียงแค่ 8 นาที ทีมชาติอาร์เจนตินา ได้จุดโทษ และ ลิโอเนล เมสซี กัปตันทีมรับหน้าที่สังหาร เปิดหัวสกอร์สวยๆ 1-0 แต่ในครึ่งหลังซาอุดีอาระเบียแซงมาขึ้นนำ จากการทำประตูของ ซาเลห์ อัล เชห์รี ในนาทีที่ 48 และ ซาเลม อัล ดอว์ซารี ในนาทีที่ 53 จบเกมที่ทำเอาแฟนบอลช็อกโลก อาร์เจนตินา พ่ายให้กับทีมที่ไม่มีชื่ออยู่ในทีมเต็งแชมป์ไปด้วยสกอร์ 1-2
แต่ อาร์เจนตินา กลับมากู้ศักดิ์ศรีได้จากอีก 2 แมตช์ที่เหลือในรอบแบ่งกลุ่ม จากการเอาชนะ “จังโก้” ทีมชาติเม็กซิโก และ “ขาวแดง” ทีมชาติโปแลนด์ ด้วยสกอร์เดียวกัน 2-0 ลิ่วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม กลุ่มซี เรียกศรัทธาแฟนบอลให้กลับมาอีกครั้งได้อย่างล้นหลาม
อาร์เจนตินา เรียกความเชื่อมั่นให้กับแฟนบอลอีกครั้ง ในแมตช์ที่พบกับ “จิงโจ้” ทีมชาติออสเตรเลีย โดย ลิโอเนล เมสซี ศูนย์หน้าความหวังของทีมเป็นฝ่ายซัดประตูขึ้นนำในนาทีที่ 35 เรียกความมั่นใจให้กับลูกทีมได้เป็นอย่างดี และลูกยิงนี้ยังเป็นลูกยิงที่ 1,000 ในอาชีพค้าแข้งของเจ้าตัว อาร์เจนตินา มาได้ประตูเพิ่มอีก 1 ประตู จาก ฮูเลียน อัลวาเรซ ในนาทีที่ 57 ออสเตรเลีย เองก็ไม่ยอมแพ้ มาได้ประตูตีไข่แตกจากการทำเข้าประตูตัวเองของ เอ็นโซ เฟร์นันเดช นาทีที่ 77 แต่ออสเตรเลียไม่สามารถไล่สกอร์ตามมาได้ทัน ทำให้จบเกม อาร์เจนตินา เอาชนะ ออสเตรเลีย 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลกไปได้อย่างสวยงาม
ทั้งนี้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเรียกได้ว่าเป็นแมตช์ที่ทำเอา อาร์เจนตินา หืดขึ้นคอ เพราะอาร์เจนตินา ที่ออกนำมาก่อน 2-0 ใน 73 นาทีแรก มั่นใจเต็มร้อยว่าจะจบ 90 นาทีด้วยสกอร์นี้ และสามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สบายๆ แต่ความมั่นใจต้องมาพังทลายลงหลัง “อัศวินสีส้ม” ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ มาทำประตูได้ในนาทีที่ 83 และนาทีที่ 90+11 จากนักเตะเบอร์ 19 เวาต์ เว็กฮอร์สต์ ทำให้ อาร์เจนตินา ต้องเหนื่อยเพิ่มจากการต่อเวลาพิเศษ 30 นาที หลังจบ 120 นาที รวมการต่อเวลาพิเศษแล้ว ผลสกอร์ก็ยังคงเดิมที่ 2-2 จึงต้องมาวัดกันที่การยิงจุดโทษ และเป็นฝ่ายของนักเตะอาร์เจนตินาที่แข้งคมกว่า เอาชนะการดวลจุดโทษด้วยสกอร์ 4-3 พาทีมเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปได้สำเร็จ
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพราะหลังจบเกม ลิโอเนล เมสซี กัปตันทีมศูนย์หน้า ทีมฟ้าขาว ได้ก่นด่าผู้ทำ 2 ประตูตีเสมอให้กับ “อัศวินสีส้ม” ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ระหว่างให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า “แกยืนดูอะไรวะ? เดินไปเลย ไอ้โง่” จากที่เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันในเกม เมสซียังเยาะเย้ย กุนซืออัศวินสีส้ม หลุยส์ ฟาน กัล ที่ซุ้มม้านั่งด้วยท่าดีใจหลังยิงประตูที่ 2 เขายกสองมือมาป้องไว้ที่หู เพราะ หลุยส์ ฟาน กัล ได้พูดก่อนที่จะลงคุมทัพในแมตช์นี้ไว้ว่า “จุดอ่อนของเมสซี คือถ้าเขาไม่มีบอล เขาจะช่วยทีมได้น้อย”
หลังจบเกมการแข่งขัน เมสซีเองก็ได้ให้สัมภาษณ์กับทางสื่อว่า “ผมรู้สึกไม่เคารพ ฟาน กัล หลังจากที่เขาพูดโอ้อวดก่อนเกม และผู้เล่นชาวดัตช์บางคนพูดมากเกินไปในระหว่างเกม” เรียกได้ว่าเป็นประเด็นให้แฟนบอลทุกชาติหันมาให้ความสนใจกันเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะโดยธรรมชาติที่ทุกคนมักเห็นเมสซีคือ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างนิ่ง เงียบ สนใจแค่การเล่นบอลเพียงอย่างเดียว ไม่โต้ตอบทั้งในเกมการแข่งขัน และนอกเกมการแข่งขัน แต่ในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป เจ้าตัวออกมาปกป้องทั้งตนเอง และทีมชาติอาร์เจนตินา ทำเอาได้ใจแฟนบอลกันเป็นอย่างมาก
ทัพ “ฟ้า-ขาว” ยังคงต้องรับศึกหนักกันอีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ เพราะต้องมาเจอกับรองแชมป์เก่าอย่าง “ตาหมากรุก” ทีมชาติโครเอเชีย แต่อาร์เจนตินา ไม่เคยแพ้ใครในรอบรองชนะเลิศ รวมถึงในแมตช์นี้ด้วยที่ อาร์เจนตินา สามารถเอาชนะ โครเอเชีย ขาดลอย 3-0 เข้ารอบไปรอชิงแชมป์ในศึกฟุตบอลโลก 2022 เป็นทีมแรก
ในปี 2014 อาร์เจนตินา เองก็เคยเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ต้องผิดหวังเพราะ มาริโอ เกิทเซ ยิงประตูชัยพาทีมชาติเยอรมนีชูถ้วยแชมป์ตัดหน้าไปด้วยสกอร์ 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 113 อาร์เจนตินาได้แต่มองถ้วยแชมป์ที่หลุดออกจากมือโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ไปอย่างน่าเสียดาย
แต่สำหรับศึกฟุตบอลโลก 2022 นี้ อาร์เจนตินาจะผิดหวังอีกครั้งหรือไม่ ต้องรอชมกันในวันที่ 18 ธ.ค. 65 เวลา 22.00 น. ที่สนามลูซาอิล ไอคอนิก สเตเดียม โดย อาร์เจนตินา เข้ารอบมารอเจอผู้ชนะระหว่าง ฝรั่งเศส หรือ โมร็อกโก.
This website uses cookies.