สำหรับสงครามแข้งพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ แม้นเส้นทางจะยังเหลืออีกยาวไกลเกินกว่าจะบอกได้ว่าตอนจบจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ช่วงเบรคทีมชาติอันน่าเบื่อแบบนี้
ผมขอผ่าฟอร์มของตัวเต็งทั้ง 4 ทีมที่ประกอบไปด้วย แมนฯ ซิตี้, เชลซี, ลิเวอร์พูล และแมนฯ ยูไนเต็ด แบบพอสังเขป
แมนฯ ซิตี้
ในฐานะเต็งหนึ่งและเต็งจ๋าแบบ “นอนมา” ทีมเรือใบสีฟ้าดันพลาดท่าพ่ายแพ้ตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลซะอย่างนั้น ย้อนกลับไปในการพ่ายศึกที่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม – แมนฯ ซิตี้ โชว์ฟอร์มไม่ค่อยไฉไลสักเท่าไหร่
ส่วนหนึ่งด้วยตัวผู้เล่นที่ยังไม่ใช่ชุดใหญ่แบบเต็มอัตราศึก
กระนั้นพวกพี่ๆ เขายังอุตส่าห์บุกกระหน่ำใส่เจ้าถิ่นอยู่ข้างเดียวพลางโอกาสทำลายตาข่ายมากมาย แต่กลับเอามันไปโยนทิ้งลงโถส้วมทั้งหมด
สุดท้ายจึงถูกลงโทษอย่างสาสมจนพังพาบตั้งแต่นัดเปิดสนาม
ปัญหาชัดเจนว่าอยู่ที่จังหวะจบไม่เด็ดขาด แต่มันก็เป็นปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหา เพราะสถิติเกมรุกของพวกเขามีประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับหนึ่งของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่แล้ว
ดังนั้นการทำประตูไม่ได้ในเกมแรกจึงน่าจะเรียกว่าเป็น “อุบัติเหตุ” ซะมากกว่า มันไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก เพราะค่าเฉลี่ยต่อ 1 เกม นอกจากจะครองบอลมากกว่าคู่แข่งระดับ 70-30 แมนฯ ซิตี้ ยังมีโอกาสทำประตูเป็นสิบๆ ครั้ง
นัดต่อมาที่เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ นอริช
แมนฯ ซิตี้ จึงระบายความอัดอั้นตันตูดออกมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด ตามมาด้วยการชำเราปืนโตในเกมล่าสุดอีก 5 ดอก
2 นัดล่าสุด แมนฯ ซิตี้ กดไปทั้งหมด 10 ดอก เป็นการยืนยันหนักแน่นว่าเกมรุกของพวกเขายังน่าสยดสยองเหมือนเดิมนั่นแหละ
ขอโทษ…นี่ขนาด เควิน เดอ บรอยน์ ยังไม่ได้ลงสนามนะครับเนี่ย
เวลาเล่นเกมรุก ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เหมือนมีแนวรุกเรียงกันเป็นหน้ากระดานถึง 5 คน
เฟอร์ราน ตอร์เรส คือหมายเลข 9 ตัวหลอก ขนาบข้างด้วย แจ็ค กรีลิช กับตำแหน่งหน้าขวาที่สลับกันทั้ง กาเบรียล เชซุส และริยาด มาห์เรซ
เท่านั้นไม่พอจะมิดฟิลด์ตัวรุกอีก 2 คนจะคอยสอดขึ้นมาทำหน้าที่เหมือนเป็นกองหน้าทั้ง อิลคาย กุนโดกัน และ แบร์นาโด้ ซิลวา รวมถึง ราฮีม สเตอร์ลิง
ฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้างก็เติมขึ้นสูงมาเล่นเกมรุกเหมือนปีก โดยสามารถจัดทีมได้แบบไม่ตายตัว และสามารถสลับกันลงอย่างไม่เหลื่อมล้ำ เพราะคุณภาพผู้เล่นพอๆ กันทั้งทีม
แม้ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกจะบันทึกว่าทีมที่แพ้ตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลแล้วสุดท้ายพุ่งทะยานเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งมีแค่ทีมเดียวเท่านั้นคือ แมนฯ ยูไนเต็ด (ในฤดูกาล 1992-93, 1995-96 และ 2012-13)
แต่หากว่ากันด้วยเหตุผลของฟุตบอลแบบเพียวๆ
แมนฯ ซิตี้ แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าพวกเขายังคงเป็น “เต็งหนึ่ง”
เชลซี
2 นัดแรก “สิงห์บลูส์” ใช้คุณภาพผู้เล่นทีเหนือกว่าเอาชนะคู่แข่งแบบไม่ระบมหัวแม่ตีน
นัดแรกที่อัด คริสตัล พาเลซ 3-0 พวกเขาไม่ได้เร่งเครื่องบดขยี้อะไรมากมาย ซึ่งหากเน้นกันมากกว่านี้ก็น่าจะกระหน่ำได้มากกว่า 3 ดอก
นัดต่อมาอัดคู่แข่งในวรรณะใกล้เคียงกันอย่าง อาร์เซน่อล ไปแบบเบาะๆ โดยศูนย์หน้าตัวใหม่อย่าง โรเมลู ลูกากู ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้นก็กระทุ้งประตูแรกให้ตัวเองในเครื่องแบบสิงห์น้ำเงินได้สำมะเร็จ
ชัยชนะใน 2 เกมแรก ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่เหนือกว่าคู่แข่งอยู่แล้ว กระทั่งการศึกระดับอภิพญามหายุทธ์ในนัดล่าสุดที่ แอนฟิลด์
โธมัส ทูเคิ่ล แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการวางแผนและแก้เกมที่คับตูดยิ่งนัก เกมแพลนของ เชลซี คือการเล่นอย่างรัดกุมบนความระมัดระวัง
รูปเกมเป็นรอง แต่ชิงจังหวะขึ้นนำก่อนได้สำเร็จจากการเล่นลูกตั้งเตะที่ซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี กระทั่งเหลือตัวผู้เล่นแค่ 10 คน ตลอด 45 นาทีหลัง
เมื่อวิงแบ็คขวาอย่าง รีซ เจมส์ ถูกใบแดงตะเพิดออกไป กุนซือสิงห์บลูส์เลือกที่จะเปลี่ยนตัวรุกอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์ ออกแล้วส่ง ติอาโก้ ซิลวา ลงมายืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คแทนที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ถูกขยับออกไปเป็น “วิงแบ็คขวา”
เมสัน เมาต์ ถูกขยับเข้าข้างในมาช่วยเกมตรงกลางพลางทิ้ง “พี่ตู้” เป็นหัวหอกเอาไว้
เวลาสวนกลับจะให้ “วิงแบ็คซ้าย” อย่าง มาร์กอส อลอนโซ่ เติมขึ้นไปเล่นเกมรุกแบบสุดซอย ขณะที่ “อัซปิ๊” จะไม่ขึ้นสูงมากนักพลางหุบจากขวาเข้ามาเป็นเซ็นเตอร์แบ็คอีกคนยามที่วิงแบ็คซ้ายขึ้นไปข้างบนแล้วลงมาไม่ทัน
สถานการณ์บังคับให้ เชลซี ต้องเล่นแบบ “พาร์ค เดอะ บัส” อย่างมีวินัยชนิดที่ต่อเวลาออกไปอีก 30 นาที หงส์แดงก็ไม่น่าจะหาทางเจาะเข้ามาทำประตูได้
แม้จะได้ 1 แต้มเท่ากันก็จริง แต่ในความรู้สึกแต้มของ เชลซี เป็นแต้มใหญ่และมีคุณค่ามากกว่า
การเข้ามาของ โรเมลู ลูกากู เป็นการเกาถูกที่คันดีนักแล เพราะจะช่วยให้ เชลซี ได้ประตูมากขึ้นมากกว่าตอนที่มี ติโม แวร์เนอร์ เป็นศูนย์หน้า
วัดจากฟอร์มการเล่นใน 3 นัดแรก ถือว่าทำได้ตามมาตรฐาน แถมขนาดของทีมที่ใหญ่และยาวอุดมด้วยผู้เล่นที่มีคุณภาพ
ว่าแล้วขอบอกว่า เชลซี นี่แหละคือผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งของ แมนฯ ซิตี้
ลิเวอร์พูล
3 นัดแรกผ่านไป “เครื่องจักรสีแดงผู้อหังการ” ทำสถิติชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 0 ยิงได้ 6 เสีย 1 สะสมได้ 7 แต้ม
สิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากทั้ง 3 นัดของ ลิเวอร์พูล คือ เจอร์เก้น คล็อปป์ พยายามค้นหาส่วนผสมในแดนกลางของระบบ 4-3-3 ให้ลงตัวที่สุด
เกมแรก ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และติอาโก้ อัล คันตาร่า ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ลงสนาม ลิเวอร์พูล ใช้ เจมส์ มิลเนอร์, นาบี เกอิต้า และอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เป็นห้องเครื่อง ฟอร์มการเล่นของ ลิเวอร์พูล ยังไม่ดุดันเท่าที่ควรนะครับ
ถึงขนาดนั้นยังอุตส่าห์อัด นอริช ไป 3 ดอกเน้นๆ อืมมมมมม…นะ
นี่ขนาดเปล่งความดุดันกันออกมาแค่ 70% ยังเอาชนะคู่แข่งไปได้ด้วยสกอร์ 3-0 แล้วถ้าเกมไหน ลิเวอร์พูล เปล่งความ “เฮฟวี่ เมทั่ล” ของตัวเองออกมาแบบเต็มๆ คู่แข่งไม่ตูดบานเหรอ
เกมต่อมา กุนซือชาวด๊อยช์ลันด์เปลี่ยนส่วนผสมในแดนกลางอีกครั้งเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, นาบี เกอิต้า และดาวรุ่งดวงใหม่อย่าง ฮาวี่ย์ เอลเลียต
การกลับมาของ “กัปตันเฮนโด้” ช่วยให้เกมของ ลิเวอร์พูล ลื่นไหลมากขึ้นอย่างชัดเจน ก่อนที่จะพิชิต เบิร์นลี่ย์ ไปแบบเบาๆ ด้วยสกอร์ 2-0
กะซวกตาข่ายได้น้อยกว่านัดแรกก็จริง แต่ฟอร์มการเล่นไฉไลกว่านัดแรกนะครับ-ขอบอก เกมล่าสุดที่ต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี จึงจัดเป็นบทพิสูจน์ตั้งแต่เนิ่นๆ
เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับขุมกำลังในแดนกลางอีกครั้งเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่ และฮาวี่ย์ เอลเลียตมันน่าเสียดายก็จริงที่ผู้เล่น 11 คนของหงส์แดงยัดเยียดความปราชัยให้ผู้เล่น 10 คนของ เชลซี ไม่สำเร็จ
แต่ประการหนึ่งเพราะพวกเขาเจอกลยุทธ์โคตรมหาอุดของคู่แข่ง ลิเวอร์พูล เล่นกันได้ดีนะครับ ไม่ใช่ไม่ดี แค่หาทางเจาะไม่เข้าเท่านั้นเอง
ที่สำคัญคือคู่แข่งที่เสกมนตร์โคตรมหาอุดใส่พวกเขาไม่ใช่ทีมไก่กาไร้ศักดินาที่ไหนเป็นถึงแชมป์ยุโรปเลยทีเดียว นี่แหละเหตุผลใหญ่ที่ไม่ชนะ
สำหรับปัญหาของน้องหงส์ที่ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมพอมองเห็นคือเรื่องของตัวผู้เล่นที่จะลงมาเปลี่ยนเกม
ขณะที่ม้านั่งสำรองของ แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี มีอาวุธหนักให้เลือกใช้ในสภาวะฉุกเฉิน ลิเวอร์พูล กลับมีผู้เล่นบนม้านั่งสำรองที่ไม่รู้ว่าลงมาแล้วจะสามารถสร้างความแตกต่างได้หรือเปล่าอย่าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิต้า และทาคูมิ มินามิโนะ
อย่างไรก็ตามแม้จะทำหลุดไป 2 แต้มอย่างน่าเสียดาย ทว่าอย่างน้อยทั้ง 3 เกมที่ผ่านมา มันก็มันแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานของ ลิเวอร์พูล ที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้ง 3 นัด
แมนฯ ยูไนเต็ด
พลพรรคปีศาจสามง่ามเปิดฉากอย่าง “พญามัจจุราช” ด้วยการระเบิดถังขี้คู่แค้นสำคัญอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด ถึง 5-1 ในนัดเปิดสนาม เกมรุกดุดันและกะซวกไส้ดีนักแลอันบังเกิดจากการต่อบอลอันรวดเร็วและแม่นยำ
เหนือสิ่งอื่นใดคือการเล่นเกมรุกแบบความกล้าได้และกล้าเสียเหมาะกับสมญา “เรด เดวิลส์” ยิ่งนัก อนิจจา – เพียงแค่เกมต่อมา มาตรฐานของพวกเขากลับตกวูบลงไปอย่างน่าเกลียดน่ากลัวตัวละ 3 บาท
ปัญหาเดิมๆ วนกลับมาอีกครั้ง คือเมื่อถูกคู่แข่งบดบี้แล้วจี้เข้าหาเร็ว ผู้เล่นพันธุ์อสูรจะออกอาการลนลานแล้วจ่ายบอลกันสะเปะสะปะโดยพลัน
แดนกลางเมื่อคู่หู “แม็คเฟร็ด” ไม่ได้ลงเล่นคู่กันก็บรรลัย นอกจากนี้ยังไม่มีตัวคุมจังหวะพลางเชื่อมเกมให้ไหลลื่นอีกต่างหาก
คิดง่ายๆ เชลซี มี จอร์จินโญ่ มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มี มาเตโอ โควาซิซ ลิเวอร์พูล มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ อัล คันตาร่า ที่คอยพักบอล คุมจังหวะ
แมนฯ ยูไนเต็ด กลับต้องฝากบอลไว้ที่ เฟร็ด ไอ้เจ๊ตเข้ !!!
2 เกมล่าสุดที่ทำได้แค่เสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-1 และเฉือนชนะ วูล์ฟส์ 1-0 คุณภาพในการรับ-ส่งบอลค่อนข้างบัดซบและตบชัก แล้วไอ้ความสยดสยองที่เห็นในเกมแรก มันคืออะไร ???
ในการศึกครั้งล่าสุดที่บุกไปควัก 3 แต้มกลับออกมาจากรังหมาป่า เกมรับมีความเยือกเย็นมากขึ้น
คนดูบอลแบบเผินๆ แล้วชอบแสดงความเห็นแบบกลัวไม่ได้แสดงความเห็นในโลกโซเชี่ยลมักจะมองตื้นๆ แค่ว่า วูล์ฟส์ พลาดเอง
ถูกต้องนะครับที่หมาป่ายิงทิ้งยิงขว้างเอาโอกาสอันดีงามของตัวเองไปโยนทิ้งถังขยะ ทว่าถ้าแผงหลังไม่นิ่ง – โอกาสทำประตูของ วูล์ฟส์ ก็จะมากกว่านี้
มิหนำจังหวะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูชัย หากมองกันแบบเป็นกลาง ผู้ชมทางบ้านอย่างผมคิดว่าถ้าผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกฟาวล์ เด็กผีแบบสุดลิ่มอย่างผมก็คงเถียงไม่ออกจึงอาจบอกได้ว่ามันเป็นชัยชนะที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า “ฟัคกลิ้งฟลุ๊ค”
มันน่าคิดนะครับ เพราะจากเกมแรกที่เปล่งปลั่ง พอ 2 เกมต่อมา มาตรฐานของ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับตกลงไปอย่างน่าใจหาย โดยใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นมากกว่าทีมเวิร์ค
ระหว่าง “เล่นไม่ดี แต่มีชัย” กับ “ตัวผู้เล่นมากกว่า แต่ไม่ชนะ” เรียนตามตรงผมขอเลือกอย่างหลังดีกว่า
เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานอันเป็นคุณสมบัติสำคัญในการไล่ล่าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษที่ต้องอาศัยความคงเส้นคงวา และถ้าว่ากันในระยะยาวถือว่าดีกว่า
ฉะนั้น & ฉะนี้ หากวัดจากฟอร์มการเล่นใน 3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง ย้ำว่าแค่ 3 นัดแรกเท่านั้น
แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเป็นแค่เต็ง 4 แม้จะมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาช่วยถล่มตาข่าย แถมอันดับในตารางและนาทีนี้จะสูงกว่า แมนฯ ซิตี้ ก็ตาม !!!
บอ.บู๋
This website uses cookies.