เอาละครับฟุตบอลยูโร เดินทางมาถึงสัปดาห์สุดท้ายของการแข่งขันจากรอบคัดเลือก 55 ทีม….เหลือ 4 แล้วครับ
ใครเป็นใครแบบภาพกว้างๆ
1 อิตาลี “หมดยุคคาเตนัชโช”
นับจาก 15 พ.ค. 2018 จนล่าสุดนี้เราได้เห็นสไตล์การเล่นใหม่ของอัสซูรี
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาคืออดีต “กองหน้า” ที่เก่งกาจ หรือไม่…
แต่บอลของอิตาลีในทัวร์นาเม้นต์ยูโร ได้รับคำชมอย่างยิ่ง ทีมชุดนี้ไม่มีสตาร์ดัง
แต่เล่นเป็นทีม ทั้งสปิริตการต่อสู้ สไตล์ บอลเพรสซิง ดุดัน สภาพ “สด” อีก
เกมรุกหวังผลได้ หลากหลาย เกมรับมีช่องว่างน้อย คู่เซนเตอร์อายุรวมกัน 70
แต่คุมเกมรับได้ดี ไม่มีพลาดง่ายๆ
รอบแรกอาจยังไม่ชัดแม้มีคำชม เพราะฟอร์มดูดุดัน
แต่รอบน้อคเอาต์ ผ่านเกมที่ยากกับออสเตรีย
เขี่ยเบลเยี่ยมตกรอบด้วยฟอร์มที่เหนือกว่าตลอดทั้งเกม
อิตาลี เป็นทีมที่โดดเด่นเป็นสง่าด้วยราศีแชมป์ได้อยู่
รูปแบบ 4-3-3 ของมานชินี มีแกนนำทุกแดน ตั้งแต่ คิเอลลินี, โบนุชชี
แดนกลาง จอร์จินโญ,บาเรลลา, แวร์รัตติ, อินซิเญ แนวรุกกับ อิมโมบิเล ,เคียซ่า ลูกชายอดีตดาวยิงทีมชาติ เอ็นริโก (ช่วงแรก เบราร์ดี ลง)
แม้ขาด สปินาสโซลา ที่เอ็นร้อยหวายฉีกหมดสิทธิ์เล่น แต่ทีมชุดนี้จะมาถอดใจคงไม่ได้
เอเมอร์สัน เป็นทางเลือก …นอกจากชุดแรกแล้ว นักเตะชุดสองก็ไม่ธรรมดา
เปลี่ยนได้ห้าคน ฝีเท้าดีๆในกัลโช ทั้งนั้น เบลอตติ, แบร์นาเดสกี, โลกาเตลลี, คริสตานเต้
ผมว่าตัวสำรอง “อิตาลี”แทนตัวจริงได้แน่
นีคือ “ศักยภาพ” ของพวกเขา
2 สเปน “ถ่ายเลือดใหม่”
หลุยส์ เอ็นริเก้ โดนวิจารณ์เยอะก่อนมาทำงาน การเลือกนักเตะยุคนี้ไม่ง่าย
นักเตะเรอัล มาดริด หายไปจากทีมชาติชุดนี้
นั่นต้องยอมรับว่ามันหมดยุคทองของสเปนไปแล้ว…ต้องสร้างใหม่
แม้ตัวผู้เล่น…ไม่ถึงคุณภาพเดิมที่เราคุ้นเคยกัน 10 ปีที่ผ่านมา
แต่วิธีการเล่นของสเปนนั้น “โอเค” พาสซิงเกม เน้นครองบอล โจมตี
เพียงแต่ “คุณภาพ” นักเตะในทีมนั้นยังไม่เนี้ยบ
ต้องยอมรับจุดนี้ว่า หลายคนไม่ได้มาจากทีมดัง
หลายคน เป็นตัวสำรองสโมสร เล่นบ้างไม่เล่นบ้าง
ประตู ซิมอน มือหนึบจากบิลเบา ยึดตัวจริงจาก เดเคอา
แผงหลังมี จอร์ดี อัลบา ที่เป็นตัวหลักสโมสร คู่เซนเตอร์ ลาปอร์ก สำรองแมนฯซิตี้
เอริก การ์เซีย ยิ่งกว่าสำรอง มี เปา ตอร์เรส ตัวหลักบียาร์เรอัล แต่ก็ไม่ใช่ทีมใหญ่
บุสเกต…โรยราแล้ว เปดรี ดาวรุ่งพุ่งแรง ที่เล่นดีกับบาร์ซ่าอายุ 18 ปี
มีโกเก ที่เป็นตัวหลักแอต.มาดริด ข้างหน้ายิ่งแล้วใหญ่ หากองหน้าระดับพระกาฬไม่ได้
โมราต้า ก็ไม่ใช่ตัวจริงสโมสร แฟร์ราน ตอเรส, ซาราเบีย ก็เหมือนกัน
ถ้าดูอย่างเข้าใจ…ก็ต้องยอมรับว่าถ้าสเปนไม่ได้เข้าชิงก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
จริงๆมาถึงรอบรองชนะเลิศได้นี่…เกินคาดสื่อสเปนเหมือนกัน
กระนั้นถ้าให้ผมมอง…ผมว่าสเปน “ขาดความคมแนวรุก”
แถมกองหลังยังไม่เจอเกมรุกแบบ “ของแข็ง”
จะว่าไปดูก๊องแก๊งไปหน่อยสเปนชุดนี้
3 เดนมาร์ก ” เทพนิยายเดนส์ภาค2?”
จากสองนัดแรกที่แพ้ ส่อแววหมดลุ้น แต่นัดสุดท้ายโชว์ฟอร์มถล่มรัสเซีย 4-1
จริงๆทีมเดนิช ไดนาไมต์ มีแววตั้งแต่ 45 นาทีแรกที่เพรสซิงใส่เบลเยียมจนเล่นบอลไม่ได้
แต่อย่างว่า..ประสบการณ์ พอพลาดแล้วโดนลงโทษก็แพ้ไป
ทว่าก่อนเข้ารอบมาพวกเขาเฉิดฉายด้วยการเล่นดุดัน ไล่ทุกบอล
ระบบ 3-4-3 แทนเกมแรก ลงตัว สามเซนเตอร์ทั้ง แคร์, คริสเตียนเซน, เวสเตอร์การ์ด
วิงแบ๊กด้ายซ้ายนี่จัดมาก แมเลอร์
ตรงกลาง ฮอยแบร์ก กับ เดลานีย์ ชุดนี้เล่นกันลงตัว
แถมข้างหน้ามีตัวแจ้งเกิดอย่าง ดัมส์การ์ด, โดเบิร์ก และกองหน้าบาร์ซ่า เบรธเวต
เพรสจนคู่แข่งที่ไม่เหนือกว่าต้องยอมรับสภาพ รัสเซีย และเวลส์ โดนไปคนละหลายดอก
ส่วนการผ่านสาธารณรัฐเช็ค บอลสไตล์ใกล้เคียงกันแต่เป็นโคนมดีกว่าเรื่อง “แดนสาม”
ยิงนำ 2-0 เร็วทำให้ งานเช็ค ออกมายากละ
บางทีเล่นวันเสาร์ “เช็ค” อาจจะไม่ผ่านนะครับ 5555
ด้วยสไตล์เพรสดุดัน วิ่งไม่หมด บวกกับเกมรับพอมีความแกร่ง
ถ้าจะฝันถึงแชมป์….ถึงตรงนี้ก็มีสิทธิ์ครับ
ผมมีทฤษฏีแชมป์ของเดนมาร์ก มาฝากครับ
อย่าซีเรียส มันเป็นสีสัน…
โดยเทพนิยายภาคสอง “แบบสมคบคิด”
1 ผู้รักษาประตูชื่อ “ชไมเคิล” เหมือนกัน
2 ปาฏิหารย์ ซ้ำสอง….
ยูโร 92 เดนมาร์ก ไม่ผ่านคัดเลือก “ส้มหล่น”แทน ยูโกสลาเวีย ที่มีปัญหาการเมืองภายใน
ก่อนเป็นทีมที่เข้าไปคว้าแชมป์ ทั้งที่รอบแรกต้องลุ้นว่าจะผ่านหรือไม่
ครั้งนี้ก็มีปาฏิหารย์ กรณี คริสเตียน เอริกเซน ที่คนทั้งโลกเอาใจช่วยในเสี้ยววินาทีระหว่างลมหายใจเข้าออก
3 ผ่านทีมดัง
เมื่อครั้งยูโร 92 เดนมาร์ก ผ่านเส้นทางสวีเดน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส รอบแรก
จากนั้นน้อค ฮอลแลนด์ สอย เยอรมัน นัดชิงจนคว้าแชมป์
อ้อยูโร เที่ยวนั้น อิตาลีไม่ผ่านรอบคัดเลือกเข้ามา
มีสกอตแลนด์เข้ารอบ มี CIS (สหภาพโซเวียตรัสเซีย) ก่อนแยกประเทศ
ครั้งนี้ไม่เจอฝรั่งเศส, ฮอลแลนด์, สวีเดน และเยอรมัน ต่างตกรอบไปหมดแล้ว
ถือว่า “ผ่าน” ได้นะ (คิดแบบเข้าข้าง) เหลืออังกฤษที่ต้องเจอกันรอบรองชนะเลิศ
ถ้าผ่านได้…มันก็ไม่แน่
4 ยุค80 นั้นคนเรียกทีมโคนมว่า “เดนิส ไดนาไมต์” จากสไตล์การเล่น ดุดัน
เพรสซิงหนัก บุกแหลก… ใครทันดูตั้งแต่ยูโร 84 บอลโลก 86 ที่โค้ช เซปป์ พิออนเทค ชาวเยอรมัน มาสร้างเดนมาร์ก ให้โด่งดังในฟุตบอล
โดยกองเชียร์มีชื่อว่า”โรลิแกนส์” Roligans
ผสมระหว่าง rolig แปลว่า “สงบ” บวกฮูลิแกน เป็น “โรลิแกนส์” ที่เน้นการเชียร์อย่างสุภาพ สนุก ไม่ก้าวร้าว เหมือนฮูลิแกน
จากเดนิช ไดนาไมต์ มาถึง”โรลิแกนส์” โยงกันได้ 555
4 อังกฤษ “ลุ้นแชมป์ยูโร ครั้งแรก”
นับจากหมดบอลโลก 1966 เป็นต้นมาอังกฤษทำดีสุดคือ รอบรองบอลโลกสองครั้ง
ส่วนยูโร นั้นเป็นอะไรที่ทีมสิงโตไม่เคยคำรามได้เลย เข้ารอบรองล่าสุดยูโร 96
เกมพบกับยูเครน เซาธ์เกต ปรับมาเล่น 4-2-3-1
ก่อนแข่งมีข่าวหลุดมาว่า เจดอน ซานโช จะลง…ไม่รู้รั่วมาจากไหน
พอแข่งก็ลงจริงๆ เล่นกับ เมสัน เม้านต์, ราฮีม สเตอริง สนับสนุน เคน
ส่วน แจ๊ค กรีลิช, ฟิล โฟเดน สำรอง….
เข้าใจว่าช่วงแรกคงมีปัญหาเรื่อง “การเจรจาซื้อขาย” ระหว่างทีมงานของเขา
ดอร์ทมุนด์ และแมนฯยูฯ ยังผลให้สมาธิเสียไป เซาธ์เกต เลยต้องพักการใช้งาน
การส่ง ซานโช ลงไม่ถือว่าเสียขบวนเพราะเขาก็เล่นกับทีมช่วงคัดเลือกมา
ไม่แปลกหน้าแน่นอน…ยังไงมีตัวเปลี่ยนห้าคน มีตัวเลือกเยอะ
ใครลงก่อนหลังไม่ส่งผล
อีกทั้ง อังกฤษอ่านว่ายูเครน ที่เปลี่ยนรูปแบบเล่นหลังสาม ต้องรับแล้วรอสวน
บอลคนละแบบกับเยอรมัน ที่วิงแบ๊กเติมเกมรุกดี
ดังนั้นเขาต้องเพิ่มตัวรุก เพื่อลุยยูเครน จะมาเล่น 3-4-3 ไม่ได้
ต้องบอกว่าจังหวะดีที่ยิงนำเร็วจาก เคน ที่ได้บอลทะลุให้ของ ราฮีม
เกมรับยูเครน จัดระเบียบยังไม่ดีใน สามสี่นาทีแรก
ราฮีม มีส่วนกับสี่ลูกของอังกฤษในยูโร ยิงสามจ่ายหนึ่ง
ผลงานก็ชัดเจน แม้ขัดใจแฟนบอลที่อยากเห็นเขาเลี้ยงหลบสักสามสี่คนเหมือนเมสซี
จากนั้นพอสิงโตนำก็ถอนรับแดนสองทันที มีจังหวะไล่แดนบนพื้นที่แคบๆได้
ถือว่าเล่นเขี้ยวใช้ได้…ลูกทีมเชว่า ได้ลุยเข้ามาแดนสาม
พอมีโอกาสยิงอยู่บ้างในครึ่งแรก จาก ยาเรมชุค แล
แต่ที่ต้องยอมรับคืออังกฤษดูเล่นแล้วแน่น
กลางกับหลังเป็นแผ่นเดียวกัน เจาะยากอยู่
คราวนีพอครึ่งหลังเล่นไปได้แค่นาทีเดียว…ยูเครนโดนลูกสอง
ชอว์ ฟรีคิก แมกไกวร์ โหม่ง 2-0
นี่คือลูกตั้งเตะลูกแรกที่อังกฤษยิงได้ในยูโร
จุดที่ขาดหายไปแล้วยังมาทันเวลา…ไม่เหมือนบอลโลก 2018
อังกฤษยิงประตูจากลูกตั้งเตะถึง 9 ใน12 เตะมุม, ฟรีคิก, จุดโทษ
เที่ยวนี้พึ่งได้….จากลูกฟรีคิกของ ชอว์ เป็น แมกไกวร์ โหม่ง เข้าไป
ตอนบอลโลก แมกไกวร์โหม่งลูกเตะมุมของ อ.ยัง …
จะว่าไป…เฮนโด ก็ยังโหม่งได้จากลูกเตะมุม 4-0
นึ่คือทีเด็ดของอังกฤษ ที่น่ากลัวพึ่งใช้ในเกมนี้อย่างได้ผล
น่าจะสร้างความมั่นใจและทำให้คู่แข่งอย่างเดนมาร์ก เตรียมการป้องกัน
ภาพรวมของอังกฤษกลายเป็นทีมที่โดดเด่นเรื่อง เกมรับไปแล้ว
พลาดยาก…เสียยาก ไม่เสียประตูให้ใครสักลูก
ตอนนี้เกมรุกเริ่มมา…แฮรรี เคน มายิงได้รอบน้อคเอาต์ แบบนี้ “อันตราย”
เอาละครับ…อ่านมาครบทั้งสี่ทีมแล้วแบบภาพกว้างๆ
หากให้ทายคู่ชิง…ผมเชื่อว่า อิตาลี-อังกฤษ น่าจะเยอะ
ส่วนที่ไม่ทายน่าจะเป็นสื่ออังกฤษและแฟนๆบอลสิงโตคำรามทั้งแผ่นดิน
ใจของพวกเขาลอยไปถึงการรับถ้วยที่เวมบลีย์ ในวันที่ 11 ก.ค. โน่นแล้ว
ส่วนพวกเราทางนี้ก็อยากขอทัศนะ
ลองทายกันดูครับ …
คู่ชิงยูโร 2020 คือคู่ไหน
This website uses cookies.