การที่ลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา บุกไปยำใหญ่ โซเซียดาด ในเกมแรก 4 ประตู ทำให้พวกเขาลงสนามแบบไร้ความกดดันในแมตช์นี้ แม้ช่วงครึ่งแรกทีมจะเกือบเสียประตูจากจุดโทษ แต่ มิเกล โอยาร์ซาบัล ดันยิงออกนอกกรอบหน้าตาเฉย
ตลอดทั้งเกมอาจจะดูค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ก็เข้าใจได้เพราะ แมนฯ ยูฯ ผลงานในเกมแรกทำให้พวกเขาลอยลำไปแล้ว และการเก็บแรงเพื่อเอาไว้ฟัดกับ เชลซี ในเกมลีกสุดสัปดาห์นี้ น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า
1. ไบยี่ แข็งแกร่งรวดเร็ว
หนึ่งในนักเตะที่ต้องชื่นชมผลงานมากๆ ในแมตช์นี้ก็คือ เอริก ไบยี่ เพราะปราการหลังรายนี้เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในการคุมเกมรับให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนี่คือจุดที่ทำให้ “ผีแดง” ฟอร์มแข็งแกร่งเมื่อมีเขาอยู่ในสนาม
สำหรับเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เลือกพัก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และให้โอกาส ไบยี่ ได้จับคู่กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ซึ่งทั้งสองคนก็ทำหน้าที่ได้อย่างเหนียวแน่น จัดการเกมรุกของ เรอัล โซเซียดาด จนไม่สามารถสร้างความหวาดเสียวได้เลย
เซนเตอร์แบ็กทีมชาติสวีเดน ยังมีชอตเด็ดในการเข้ามาตัดบอลจังหวะสำคัญช่วงครึ่งแรกซึ่งช่วยให้ทีมรอดพ้น ส่วนในรายของ ไบยี่ ต้องบอกว่าโดดเด่นทั้งเกมรุกและเกมรับ โดยเฉพาะเรื่องความเร็วซึ่ง ดาวเตะชาวไอวอรี่ โคสต์ วิ่งบี้กับ อเล็กซานเดอร์ อิซัค แนวรุกของทีมเยือนได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ยังมีหลายจังหวะที่เขาแสดงให้เห็นถึงพละกำลังในการวิ่งที่รวดเร็ว และยังมีจังหวะหยอดบอลทิ้งให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส หลุดกับดักล้ำหน้าแต่น่าเสียดายที่จอมทัพชาวโปรตุกีสยิงไม่ค่อยดี ทำให้บอลกระเด้งเข้ามือนายทวารโซเซียดาด
อย่างไรก็ตามฟอร์มการเล่นของ ไบยี่ คงทำให้ โซลชา แฮปปี้สุดๆ โดยเฉพาะเรื่องความเร็วซึ่งสร้างความแตกต่างในเกมรับสำหรับแมตช์นี้ ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะเล่นร่วมกับ แม็กไกวร์ หรือ ลินเดอเลิฟ ก็ไม่มีปัญหาแน่นอน
2.โอกาสย่อมเป็นของทุกคนแม้จะเป็นแค่ดาวรุ่งก็ตาม
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า โซลชา พร้อมที่จะให้โอกาสนักเตะทุกคนหากมีศักยภาพและความสามารถที่จะเล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ว่านักเตะนั้นจะอายุเท่าไหร่ อย่างในเกมนี้ อาหมัด ดิยัลโล่ และ โชล่า ชอริทิเร่ มีโอกาสได้ลงไปสั่งสมประสบการณ์ในเกมระดับสูงอีกครั้ง
ดิยัลโล่ ได้ลงสนามในนาทีที่ 59 ขณะที่ ชอริทิเร่ ได้ลงเล่นในนาทีที่ 76 ซึ่งรายหลังได้สร้างประวัติศาสตร์ซะด้วยเมื่อกลายเป็นนักเตะอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์สโมสร (17 ปี กับ 23 วัน) ที่ลงเล่นเกมฟุตบอลถ้วยยุโรป
สำหรับ ดิยัลโล่ ได้ลงเล่นในตำแหน่งปีกขวาโดยมี เบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ยืนเป็นแบ็กขวา ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นการช่วยให้ ดาวเตะชาวไอวอรี่ โคสต์ เล่นได้ดียิ่งขึ้น เพราะทั้งสองคนเคยร่วมงานกันตอนที่ ดิยัลโล่ ลงเล่นเปิดตัวเกมรุ่นยู-23 ของสโมสร
ผลงานของ ดิยัลโล่ และ ชอริทิเร่ ถือว่าสอบผ่านในสายตาของ โซลชา และสาวก “เร้ด อาร์มี่” เพราะด้วยวัยที่ยังไม่ถึง 19 ปีของทั้งสองคน แต่สามารถเล่นด้วยความมั่นใจในการต่อกรกับทีมอย่าง โซเซียดาด ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากๆ
ยิ่งไปกว่านั้น “น้าลูกอม” เริ่มเดินตามรอยของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กุสัน ปรมาจารย์ลูกหนัง แทบทุกกระเบียดนิ้ว โดยเฉพาะการเล่นให้โอกาสดาวรุ่งของทีม ซึ่งแมตช์นี้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีค่าเฉลี่ยนักเตะที่ลงสนามอยู่ที่ 23 ปีเท่านั้น ถือว่าเป็นทีมดาวรุ่งพุ่งแรงจริงๆ
3. ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงใช้งาน แรชฟอร์ด กับ แฟร์นันด์ส
ตอนที่มีการเปิดเผยรายชื่อ 11 ตัวจริง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าสาวก “เร้ด อาร์มี่” งงเป็นไก่ตาแตกว่าทำไม โซลชา ถึงจับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงสนามทั้งๆ ที่เกมนี้เป็นโอกาสทองที่จะได้พักร่างกายของนักเตะ
จอมทัพทีมชาติโปรตุเกส เป็นหัวใจของ “ผีแดง” ไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องจับ บรูโน่ ลงสนามเป็นตัวจริง เพราะเกมนี้แทบจะไม่มีผลอะไรแล้ว เนื่องจากทีมเก็บชัยชนะท่วมท้นตั้งแต่เลกแรก
แน่นอนหากถาม บรูโน่ ตรงๆ เจ้าตัวก็ไม่อยากพัก เพราะนักเตะรายนี้มีความต้องการลงสนามทุกเกมทุกนาที แต่มันไม่จำเป็นต้องส่งนักเตะลงไปเสี่ยงให้เกิดอาการบาดเจ็บ เนื่องจากจะส่งผลเสียกับการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ในอนาคต
เช่นเดียวกันในรายของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ต้องแรกมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรอง และ “น้าลูกอม” ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องส่งเขาลงสนาม แต่เจ้าตัวก็ยังเลือกจับ หัวหอกทีมชาติอังกฤษ ลงเล่น บรูโน่ ในช่วงครึ่งหลัง ซึ่งถือว่าเป็นการเสี่ยงให้นักเตะบาดเจ็บโดยไม่จำเป็นจริงๆ
แม้อาจจะพอเข้าใจได้ว่า โซลชา คงต้องการให้ทีมมีนักเตะสไตล์ผู้นำอยู่ในสนามหลังจากที่ถอด บรูโน่ ออกไป และชื่อชั้นของ แรชฟอร์ด สามารถแบกรับสิ่งเหล่านี้ได้สบายๆ แน่นอนว่า แรชฟอร์ด ลงมาช่วยสร้างความแตกต่าง โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม และเกือบยิงประตูได้จากจังหวะฟรีคิก
ผลงานดีมีคุณภาพของ แรชฟอร์ด กับ บรูโน่ ไม่มีใครปฏิเสธ แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่จำเป็นต้องใช้งานเขาในเกมที่สกอร์ขาดลอยไปตั้งแต่ยกแรกแล้ว อย่าลืมว่าเกมลีกนัดต่อไป “เร้ด เดวิลส์” ต้องไปเยือน เชลซี ที่ฟอร์มกำลังโหด สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นนับตั้งแต่ โธมัส ทูเคิ่ล เข้ามากุมบังเหียนซะด้วย
4. เฮนเดอร์สันทำหน้าที่ด้วยความมั่นใจ
ดีน เฮนเดอร์สัน ยังคงทำผลงานได้ดีไม่มีข้อผิดพลาดในแมตช์นี้ และนั่นคงเป็นสัญญาณเตือนไปยัง ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูชาวสแปนิช ว่าตำแหน่งมือ 1 ทัพ “ปีศาจแดง” อาจจะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป หากยังฟอร์มเหวอบ่อยๆ
ช่วงที่ผ่านมามีข่าวลือออกมาเป็นระลอกว่า นายทวารทีมชาติอังกฤษ มีโอกาสที่จะได้ยึดมือ 1 จาก เด เคอา ในขณะเดียวกันก็มีรายงานที่อ้างว่าเขาต้องการย้ายทีมหลังจบฤดูกาลนี้ ยกเว้นจะได้รับการการันตีโอกาสในการลงเฝ้าเสาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแมตช์นี้ เฮนเดอร์สัน ทำหน้าที่มือ 1 ได้ดีเยี่ยมแม้เจ้าตัวจะไม่ต้องออกแรงอะไรมากในก็ตาม แต่ นายทวารชาวเมืองผู้ดี สามารถรับมือกับทุกๆ อย่างด้วยความมั่นใจ ที่สำคัญยังคอยทำหน้าที่ตะโกนสั่ง และกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมอยู่ตลอดเวลา
หลังจบเกมนี้ “หนุ่มดีน” สามารถเก็บคลีนชีตได้อีกแมตช์ และนั่นคงทำให้ นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ ต้องพยายามมองหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยังไม่ได้รับโอกาสทำหน้าที่เฝ้าเสาแทน เด เคอา ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซะที
ถ้าหากสถานการณ์ของ เฮนเดอร์สัน ยังคงคลุมเครือแบบนี้ต่อไป บอกเลยว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุ่มเสี่ยงที่จะเสียงโกลฝีมือดีออกไปในช่วงซัมเมอร์นี้แหงๆ ฉะนั้นถ้าไม่อยากต้องเสียเงินมหาศาล เพื่อซื้อนักเตะกลับมาเหมือนกรณี ปอล ป็อกบา พวกเขาต้องทบทวนให้ดีๆ
5. เส้นทางสู่ความสำเร็จยังเปิดกว้าง
เรื่องความสำเร็จกับสโมสรใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความสำคัญมากๆ เพราะพวกเขาห่างหายจากการเห็นโทรฟี่แชมป์มานานหลายปี โดยครั้งสุดท้ายที่ทีมมีแชมป์ประดับตู้โชว์ก็ตอนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กุมบังเหียน
นับตั้งแต่ที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือ “ปีศาจแดง” ได้แค่แชมป์ ยูโรปา ลีก, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ (คาราบาว คัพ) ในยุคของ “เฮียมู” และ หลุยส์ ฟาน กัล เท่านั้น ส่วนแชมป์ลีกตอนนี้ร้างลากันมานานถึง 8 ปีกว่าๆ แล้ว
สำหรับซีซั่นนี้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก อาจจะยากลำบาก เพราะทีมตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 10 คะแนน แถมฟอร์มของ “เรือใบสีฟ้า” ยังไม่มีแผ่วให้เห็น ฉะนั้นการลุ้นแชมป์จากฟุตบอลถ้วยน่าจะมีโอกาสมากกว่า
ตอนนี้ แมนฯ ยูฯ มีลุ้นทั้ง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และ เอฟเอ คัพ และแน่นอนว่าการได้แชมป์รายการใดรายการหนึ่ง หรือทั้งสองรายการ พร้อมทั้งจบอันดับติดท็อปโฟร์ น่าจะสร้างความฮึกเหิม และต่อยอดให้พวกเขาประสบความสำเร็จในฤดูกาลหน้า ก็ได้
ทอมเม้ง
This website uses cookies.