Football Sponsored
Categories: ฟุตบอล

ผ่า 5 ทีมเต็ง ศึกฟุตบอลยูโร 2020 เวทีนี้(จะ)ต้องมีม้ามืด ! – บทความฟุตบอลต่างประเทศ – SMMSPORT

Football Sponsored
Football Sponsored

ศึกฟุตบอลยูโร 2020 ในยุค”โควิด”ที่อาจเรียกว่าเงียบสนิท จนหลายคนลืมไปแล้วว่าเหลือวันเวลาอีกไม่นาน ศึกลูกหนังยิ่งใหญ่เป็นอันดับสองรองจากฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้นแล้วในวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายนนี้

 24 ทีมชาติที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย โดยเป็นครั้งแรกที่จะมีการแข่งขันใน 11 เมืองของทวีปยุโรป เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 60 ปีของการแข่งขัน โดยรอบรองชนะเลิศ และชิงชนะเลิศในสังเวียน เวมบลีย์ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ

 เดิมต้องแข่งขันในเดือน มิถุนายน 2020 แต่เนื่องจากสถานการณ์ “โควิด” ทำให้ต้องเลื่อนมาอีกปี และน่าเสียดายไม่มีการซื้อลิขสิทธิ์มาฉายในประเทศไทยทำให้ ยูโร หนนี้ไม่คึกคักเท่าที่ควรจะเป็น

 สำหรับทีมเต็งแชมป์บ่อนการพนันถูกกฏหมายของอังกฤษ ออกราคาให้แฟนฟุตบอลได้ลุ้นกันแล้ว จึงขอนำ 5 ทีมเต็งแชมป์ศึกยูไรหนนี้มานำเสนอ จะมีชาติใดบ้างมาดูกัน

เต็ง 5 สเปน


 “กระทิงดุ” สเปน อดีตทีมแชมป์ 3 สมัย ในปี 1964 และเป็นทีมเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์และรักษาแชมป์ไว้ได้ในปี 2008 และ 2012 ส่วนผลงานครั้งล่าสุดคือตกรอบ 16 ทีม แพ้อิตาลี 0-2

 มาในศึกยูโรหนนี้ “หลุยส์ เอ็นริเก้” ต้องปรับเปลี่ยนทีมอย่างหนัก การเล่นที่ขาดซูเปอร์สตาร์ต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนด้วยทีมเวิร์ก กองหน้ายังเป็นเรื่องที่ต้องค้นหา โดยในรอบคัดเลือกมีผู้ทำประตูสูงสุดได้แค่ 4 ประตู จาก 3 นักเตะคือ อัลวาโร่ โมราต้า, เซอร์จิโอ รามอส และ โรดริโก โมเรโน มาชาโด 

 โดยเฉพาะรายหลัง โรดริโก โมเรโน มาชาโด กองหน้าจาก “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นนักเตะทีมชาติสเปน ที่เกิดและมีเชื้อสายบราซิล แทบจะเป็นตัวหลักในแดนหน้าไปแล้ว ส่วน เซอร์จิโอ รามอส ก็ถูกตัดออกจากทีมในนาทีสุดท้ายด้วยสภาพร่างกาย

 จากปัญหาแนวรุกและผู้เล่นจึงไม่น่าแปลกที่อดีตแชมป์ 3 สมัยจะตกอยู่ในฐานะเต็ง 5

 แต่ทั้งนี้ สเปน อาจมีหวังกับดาวยิงแห่งอนาคต “อันซู ฟาติ” กองหน้าแห่งทีมบาร์เซโลน่า ในวัย 18 ปี กลายเป็นนักเตะที่ทำลายสถิติผู้ทำประตูอายุน้อยที่สุดในรอบ 95 ปีของสเปน ในเกมชนะ ยูเครน 4-0 ในศึกยูฟ่าเนชั่นส์ลีก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา หลังจากก่อนนี้ผู้ผู้ทำประตูอายุน้อยในรอบ 78 ปีให้กับ “บาร์ซ่า” มาแล้ว

 ส่วนในแดนกลาง “กระทิงดุ” สเปน ยังมีดาวเด่นที่สามารถสร้างสรรค์และพลิกเกมได้เพราะกำลังอยู่ในฟอร์มที่ดีคือ “ติอาโก อัลกันตารา” ดาวเตะของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ผู้มีประสบการณ์ติดทีมชาติมาแล้ว 41 ครั้ง ประสบการณ์ของเขา “อัลกันตารา” น่าจะช่วยประคองเกมให้ดาวรุ่งอย่าง เปดริ, เอริก การ์ซิอา และ เฟร์รัน ตอร์เรส ทำงานได้ง่ายขึ้น

 แม้ “สเปน” ชุดนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังหนุ่มประสบการณ์น้อย แต่หากมั่นใจและอยู่ในช่วงฟอร์มที่ดี “กระทิงดุ” ก็สามารถล้มได้ทุกทีมเช่นกัน

 เต็ง 4 เยอรมัน


 ทุกสังเวียนลูกหนัง “อินทรีเหล็ก” เยอรมัน เป็นทีมที่ไม่ควรถูกมองข้าม อดีตทีมแชมป์ 3 สมัยในปี 1972, 1980 และล่าสุด 1996 ถูกมองเป็นเต็ง 4 เพราะขาดผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสในทีมชุดนี้

  “โยอาคิม เลิฟ” กุนซือคู่บุญประกาศวางมือทันทีที่เสร็จสิ้นในภารกิจศึกยูโร 2020 หลังจากคุมทัพเป็นโค้ชให้กับทีมเยอรมนีมาตั้งแต่ปี 2006อก่อนพาทีมอินทรีเหล็กก้าวไปสู่ความสำเร็จในฟุตบอลโลกปี 2014 สำหรับผลงานยูโร 2016 ครั้งล่าสุด ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนแพ้ฝรั่งเศส 0-2

  มาในยุคนี้ “อินทรีเหล็ก” ดูไม่ดุดันไร้ดาวดังตัวจบสกอร์มีเพียง “แซร์จ นาบรี้” ที่ยิงในรอบคัดเลือก 8 ประตู สำหรับแดนกลางต้องหวังพึ่งประสบการณ์ “โทนี่ โครส” หนึ่งในพลพรรคชุดแชมป์โลก 2014 

 แต่ยังมีหวังกับดาวรุ่ง “ไค ฮาเวิร์ตซ์” นักเตะหนุ่มที่พา “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เป็นแชมป์ยุโรป หากฟอร์มเข้าฝักขึ้นมาอาจเป็นตัวเปลี่ยนพา “อินทรี” ที่หงอยเหงากลับมาคึกคักได้อีกครั้ง

 และด้วยคุณภาพของ “เยอรมัน” โปรดอย่ากาชื่อทีมเต็งแชมป์ชุดนี้ทิ้งไปเป็นอันขาด

เต็ง 3 เบลเยี่ยม


 เป็นทีมที่ถูกจับตามองมาตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018 ด้วยนักเตะคุณภาพในทีมคับคั่ง มาในศึกยูโร

 “เบลเยี่ยม” ยังเป็นทีมที่มีสิทธิ์คว้าแชมป์ในฐานะเต็ง 3 แม้อดีตที่ผ่านมาดีที่สุดคือเข้ารอบรองชนะเลิศเมื่อปี 1980 ส่วนครั้งที่ผ่านมาตกรอบ 8 ทีม ด้วยการพ่าย เวลส์ 1-3

 กุนซือ “โรเบร์โต มาร์ติเนซ” อาจจะมีปัญหาเล็กน้อยกับอาการบาดเจ็บของจอมทัพคนสำคัญ “เควิน เดอบรอยน์” หลังปะทะกับนักเตะเซลชีในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก


 ด้วยฟอร์มเทพของ “เดอบรอยน์” จากผลงานเก็บได้ 4 ประตูและ 7 แอสซิสต์ในรอบคัดเลือกจึงเป็นหัวใจของทีมที่ขาดไม่ได้ แต่ “เบลเยี่ยม” ยังโชคดีที่ผู้ช่วยชั้นยอด “ยูริ ติเลอม็องส์” มิดฟิลด์สารพัดประโยชน์ของเลสเตอร์ วัย 23 ปี อยู่ในฟอร์มที่ดี

 ในขณะที่กองหน้า “โรเมลู ลูกากู” ดาวยิงสูงสุดของทีม ทำไป 7 ประตู ในรอบคัดเลือกกำลังมีความมั่นใจ

 ดังนั้น “เบลเยี่ยม” จึงเป็นทีมหน้าใหม่ที่น่าลุ้นมากที่สุด

 เต็ง 2 อังกฤษ


 “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ ไม่เคยเป็นแชมป์ ผลงานที่ดีที่สุดคืออันดับสามในปี 1968 โดยในปีล่าสุดตกรอบ 16 ทีม ด้วยการพ่ายพลิกให้ไอซ์แลนด์ 1-2

 แต่ด้วยความพร้อมในปีนี้ลูกทีมของ “เกเรธ เซาต์เกธ” ผู้จัดการทีมที่มีอดีตเคยพลาดจุดโทษรอบรองชนะเลิศในยูโร ’96 จัดระบบเรียกฟอร์มของทีมจนทำให้อังกฤษกลายเป็นหนึ่งในเต็งแชมป์ยูโร 2020 โดยมีขุนพลคู่ใจคือ แฮร์รี่ เคน ที่ทำผลงานยิงไป 12 ประตูในรอบคัดเลือก


 ดาวยิงจากสเปอร์ “แฮร์รี่ เคน” กำลังอนาคตกับสโมสรใหม่และหากผลงานดีในศึกยูโรอาจมีค่าตัวเพิ่ม กัปตันทีมและกองหน้าตัวเก่งของอังกฤษ ถือเป็นนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้สม่ำเสมอและเป็นตัวทีเด็ดหัวใจของทีมชาติที่ขาดไม่ได้

 นอกเหนือจาก “แฮร์รี่ เคน” อังกฤษยังมีผู้เล่นน่าจับตามองคือ “จาดอน ซานโช” ดาวเตะอนาคตไกลจาก “โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์” ในศึกบุนเดสลีก้าของเยอรมัน 

 จะมีนักเตะอังกฤษสักกี่คนที่ค้าแข้งต่างแดนจนเป็นที่ยอมรับ และหนึ่งในนั้นคือ “ซานโซ” ดาวดวงใหม่ที่ต้องจับตามอง

 นอกจากฟอร์มที่ลงตัว อย่าลืมว่าเกมในรอบรองชนะเลิศ และชิงชนะเลิศในศึกยูโรครั้งนี้แข่งขันที่กรุงลอนดอน จึงไม่น่าแปลกหาก อังกฤษ จะทะลุชิงและคว้าแชมป์เหมือนครั้งแรกและครั้งเดียวในการคว้าแชมป์โลก

เต็ง 1 ฝรั่งเศส

       

 “ตราไก่” ฝรั่งเศส ชื่อนี้ถือเป็นขาประจำที่หลายทีมต้องเกรงขาม นับตั้งแต่ในยุคของ “ซิเนดีน ซีดาน” ตราไก่ครองความยิ่งใหญ่การเป็นแชมป์โลกสมัยแรกในปี 1998 นับจากนั้นมาในสองทศวรรษนี้เป็นของ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ที่ทุกทีมต้องยอมรับ

 ในการแข่งขันฟุตบอลโลกและศึกยูโร นับจากปี 1998 ฝรั่งเศสเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ 5 ครั้ง และคว้าแชมป์ได้ถึง 3 ครั้ง จากแชมป์โลก 2 สมัยและแชมป์ยูโรอีก 1 สมัย

  “ดีดีเย เดช็อง” กุนซืออดีตนักเตะชุดแชมป์โลกปี 1998 และแชมป์ยูโร 2000 มีโอกาสสานความสำเร็จให้ทีมอีกครั้ง ด้วยคุณภาพของนักเตะแทบทุกตำแหน่ง โดยกองหน้ายังมีจอมเก๋าแชมป์สโมสรยุโรปจากเชลซี “โอลิวิเยร์ ชิรูด์” ทำผลงานยิง 6 ประตู สูงสุดในรอบคัดเลือก

 จากความผิดหวังครั้งล่าสุด พ่าย โปรตุเกส 0-1 ในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้ “ตราไก่” หมายมั่นปั้นมือจะล้างตาให้ได้ในศึกครั้งนี้ โดยยังมีลูกทีมอันทรงประสิทธิภาพในทีมอย่างครบครัน

 โดยเฉพาะ “อองตวน กรีซมันน์” นักเตะแดนกลางหัวใจสำคัญของทีม แม้ไม่ใช่กองหน้าตัวเป้า แต่ “กรีซมันน์” ทำประตูสำคัญให้กับทีมอยู่เสมอ จนกลายเป็นผู้เล่นฝรั่งเศสในตำแหน่งกองกลางที่ทำประตูได้มากที่สุดตลอดกาล รองจาก “ซิเนดีน ซีดาน” คนเดียวเท่านั้น

 ที่สำคัญอย่าลืมผู้ปิดทองหลังพระ “เอนโกโล กองเต้” ดาวเตะร่างเล็กใจใหญ่จาก “เซลชี” ที่ได้รับการยกย่องเป็นกลางตัวรับที่ดีที่สุดในโลกเวลานี้

ิ     
 ส่วนในแดนหน้า แน่นอนว่า “คีเลียน เอ็มบัปเป” ดาวยิงของปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่คาดว่าอาจครองสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกเมื่อมีการย้ายทีมเป็นตัวหลักสำคัญ แม้ไม่สามารถทำประตูได้มากมาย แต่ “เอ็มปัปเป” เป็นตัวหลอก กระชากลากเลื้อยจากริมเส้นที่เร็วและคล่องจนหาตัวจับยาก

  สำหรับแนวรับ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ยังมีผู้เล่นน่าจับตามองคือ “เคลเมนต์ เลงเก็ต” เซ็นเตอร์แบ็คที่เป็นตัวหลักให้กับบาร์เซโลนา จะเป็นตัวเลือกแรกที่จะเล่นคู่กับ “ราฟาแอล วาราน” หัวใจสำคัญในเกมรับของ “เดช็อง”

  ส่วนประตูไม่ต้องพูดถึง “ฮูโก้ ยาริส” จากสเปอร์เก๋าและเหนียวหากไม่เจ็บไม่มีใครแทนเขาได้

 ทั้งหมดนี้คือ 5 ทีมเต็ง จากลำดับ 1-5 แทบไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีทีมดังอย่างทีมแชมป์เก่า โปรตุเกส ของยอดนักเตะ “คริสเตียนโน่ โรนัลโด้” รวมถึง “อัสซูรี่” อิตาลี แชมป์ในปี 1968 และ เนเธอร์แลนด์ อดีตแชมป์ไร้เทียมทานในยุค “สามทหารเสือ” รุด กุลลิด, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ มาร์โก้ แวนบาสเท่น ในปี 1988 รวมอยู่ด้วย 

 แต่จะว่าไปแล้ว ศึกยูโร ถือเป็นทัวร์นาเม้นท์ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ อดีตที่ผ่านมาไม่นานเคยมีม้ามืดสร้างเทพนิยายแห่งความสำเร็จมาแล้วอย่างน้อยสองทีม คือ เดนมาร์ก แชมป์ยูโร 1992 ทีมที่ตกรอบคัดเลือกไปแล้วแต่ถูกเรียกมาแทน ยูโกสลาเวีย ที่ถูกแบนเพียงแค่ไม่กี่วันก่อนการแข่งขันจะเริ่ม และ กรีซ ในยูโร 2004 ทีมที่ไม่มีอะไรมากนอกจากการอุดแล้วโต้กลับที่พลิกเอาชนะเจ้าภาพ โปรตุเกส แบบน้ำตาท่วมทั้งสนาม

  เป็นตัวอย่างของเทพนิยายหรือทีมม้ามืดในรายการนี้ ดังนั้นหากทีมเต็ง 1 ใน 5 ไม่สามารถคว้าแชมป์ยูโรหนนี้ได้

 ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย !!

Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.