“เฮียมู” เปิดปากครั้งแรกหลังโดนสเปอร์สปลด
โชเซ่ มูรินโญ่ นายใหญ่ชาวโปรตุกีส แสดงความเห็นครั้งแรกหลังจากที่กลายเป็นคนว่างงานหลังโดน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สั่งปลดกลางอากาศ เนื่องจากผิดหวังกับผลงานของ “เฮียมู” ที่ดูเหมือนจะพลาดตั๋วโควตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นนี้
โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมจอมแท็กติก เปิดปากเป็นครั้งแรกหลังจากที่โดน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สั่งปลดออกจากตำแหน่งนายใหญ่ “ไก่เดือยทอง” เมื่อวันจันทร์ที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา
นายใหญ่ชาวโปรตุกีส เข้ามาทำงานให้กับ สเปอร์ส เพียงแค่ 17 เดือนเท่านั้น โดยเขานำทีมคว้าชัยชนะ 44 เกมจากทั้งหมด 86 แมตช์ที่กุมบังเหียน พร้อมนำทีมเข้าชิงถ้วยคาราบาว คัพ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ด้วยผลงานในพรีเมียร์ลีก ที่ดูเหมือนจะพลาดตำแหน่งท็อปโฟร์ ทำให้สโมสรตัดสินใจปลดกลางอากาศ
ช่วงที่ผ่านมา มูรินโญ่ ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรเลยหลังกลายเป็นคนว่างงานอีกครั้งในวัย 58 ปี จนกระทั่งเจ้าตัวถูกจับภาพในขณะที่อยู่บริเวณนอกบ้านพักของตนเองซึ่งตอนนั้นมีช่างภาพ และ แกรี่ ค็อตเตอริลล์ นักข่าวของสกายสปอร์ตส์ รออยู่พอดีจากนั้นก็ยิงคำถามทันที
อดีตนายใหญ่ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี จัดการตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “พวกนายไม่เคยให้ความเป็นส่วนตัวกับผมเลย แม้แต่ แกรี่ (ค็อตเตอริลล์) เพื่อนของผมก็เข้ามวุ่นวายกับผม นี่แหละชีวิตของผม!”
อย่างไรก็ตาม มูรินโญ่ ยังใจดียอมตอบคำถามบางคำถาม แต่สำหรับเรื่องเหตุผลในการแยกทางกับ สเปอร์ส นั้น “เฮียมู” ปฏิเสธที่จะพูดถึง “คุณก็รู้จักผม รู้ว่าผมไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เดี๋ยวคุณก็จะได้เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ การไปพักผ่อนช่วงหยุดยาว, ชาร์จแบตเตอรี่ ? ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นต้องพักและชาร์จแบตเตอรี่ การกลับมาสู่วงการฟุตบอลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ไหม ? ผมยังคงอยู่กับฟุตบอลตลอดเวลา”
ขอบคุณ : dailystar.co.uk
อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร
Add friend ที่ @Siamsport
ฟุตบอลฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง
This website uses cookies.