Football Sponsored
Categories: ฟุตบอล

แค้นรอชำระ “ชิน แต ยอง” ชู 3 จุดแข็ง “อินโดนีเซีย” ก่อนบู๊เดือด “ทีมชาติไทย” อาเซียนคัพ

Football Sponsored
Football Sponsored

วันที่ 28 ธันวาคม 2565 ชิน แต ยอง กุนซือทีมชาติอินโดนีเซีย ชาวเกาหลีใต้ ให้สัมภาษณ์ ณ ห้องแถลงข่าว สนามเกโลรา บุง การ์โน ในการแถลงข่าวก่อนการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2022 รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 3 กลุ่มเอ ซึ่งจะพบกับ ทีมชาติไทย ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคมนี้ เวลา 16.30 น. ถ่ายทอดสดทาง MCOTHD 30 และ T-Sports 7

สถานการณ์ล่าสุดในกลุ่มเอ ทีมชาติไทย และ อินโดนีเซีย ต่างก็ชนะรวดใน 2 เกมแรก มี 6 คะแนนเท่ากัน แต่ “ช้างศึก” เป็นทีมนำของกลุ่ม เนื่องจากประตูได้-เสียดีกว่า (ไทย +9 / อินโดนีเซีย +8) หากเกมนี้ใครชนะก็แทบจะการันตีเข้ารอบรองชนะเลิศ

คู่นี้ถือเป็นการย้อนรอยคู่ชิงชนะเลิศในอาเซียนคัพ 2020 เมื่อปีที่แล้ว ซึ่ง ทีมชาติไทย ทำผลงานได้เหนือกว่าด้วยการเอาชนะ อินโดนีเซีย 4-0 ในนัดแรก ก่อนเสมอ 2-2 ในเกมที่ 2 ทำให้ “ช้างศึก” เพิ่มสถิติคว้าแชมป์สูงสุดเป็นสมัยที่ 6

อย่างไรก็ตาม ชิน แต ยอง เผยถึง 3 จุดแข็งของ อินโดนีเซีย ก่อนล้างตา ทีมชาติไทย ว่า “เราต้องการทั้งการทำงานหนักและเวลา เพื่อนำผู้เล่นกลับสู่ประสิทธิภาพสูงสุด แต่นักเตะได้พยายามเต็มที่แล้วเพื่อกลับสู่ระดับนั้น และพวกเขาก็พร้อมสำหรับการเจอกับ ไทย”

“(3 จุดแข็งของ อินโดนีเซีย) เรามีผู้เล่นถึง 8 คนที่ทำประตูได้ในรายการนี้ แต่มันไม่สำคัญว่าใครจะเป็นคนทำประตู เพราะนักเตะทุกคนพร้อมทำหน้าที่ของพวกเขา และเล่นกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งจนถึงตอนนี้ถือว่ากำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม”

สำหรับผู้เล่นทั้ง 8 คนของ อินโดนีเซีย ที่ทำประตูได้ ประกอบด้วย เอกี เมาลานา (2 ประตู), วิตัน ซูเลมาน, อิลิยา สปาโซเยวิช, ชาห์รียัน อาบีมันยู, เดนดี ซูลิสตียาวัน, รามาดาน ซานันตา, มาร์ค คล็อค และ ยาค็อบ ซายูรี (คนละ 1 ประตู) มากที่สุดในรายการนี้ เทียบเท่ากับ เวียดนาม จ่าฝูงกลุ่มบี

ขณะที่ ทีมชาติไทย มีผู้ทำประตูได้ 5 คน คือ ธีรศิลป์ แดงดา (3 ประตู), พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี (2 ประตู), อดิศักดิ์ ไกรษร, ศุภนันท์ บุรีรัตน์ และ บดินทร์ ผาลา (คนละ 1 ประตู)

Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.