Football Sponsored
Categories: ฟุตบอล

บทสรุปความทรงจำฟุตบอลโลก 2022 บนดินแดนทะเลทราย

Football Sponsored
Football Sponsored

ความทรงจำฟุตบอลโลก 2022 บนดินแดนทะเลทราย มีเรื่องราวต่างๆ มากมายทั้งในสนาม และนอกสนาม

ฟุตบอลโลกครั้งที่ 22 รอบสุดท้าย ที่ประเทศกาตาร์ ทั้ง 64 แมตช์ 172 ประตู ขุนพล “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 3 พร้อมกับการเติมเต็มบนเส้นทางอาชีพค้าแข้งของ ลิโอเนล เมสซี่ โดยทัวร์นาเมนต์นี้มีทั้งข้อถกเถียงทั้งช็อตในสนาม และนอกสนาม อีกทั้งเรื่องราวมากมาย รวมถึงช่วงเวลามหัศจรรย์จากบรรดาแข้งจากทั่วทุกมุมโลก ที่มารวมตัวกันยังดินแดนทะเลทราย  

เมสซี่ ปิดฉากสวย อาร์เจนตินา คว้าแชมป์บอลโลก ดวลจุดโทษชนะ ฝรั่งเศส

สรุปสถิติ “เมสซี่” หลังคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022

เรื่องวุ่นๆ ก่อนทัวร์นาเมนต์

ก่อนทัวร์นาเมนต์ 20 พ.ย.-18 ธ.ค. เจ้าภาพกาตาร์ ประเทศที่เคร่งในเรื่องของกฏหมายอิสลาม มีเรื่องอื้อฉาวทั้งการใช้แรงงานข้ามชาติจนเสียชีวิต ,การปรับโปรแกรมก่อนการแข่งขันขึ้นมา 1 วัน ห้ามโบกธงสีรุ้งที่เป็นการถึงความหลากหลายทางเพศ รวมไปถึงการแต่งตัวของบรรดาสาวๆ ที่ต้องรัดกุม รวมไปถึงการจำกัดการขายเครื่องดื้มแอลกอฮอลล์ หรือห้ามในเรื่องของวันไนท์สแตนด์

การพลิกล็อก

หนึ่งเกมที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ คือเกมที่ ซาอุดีอาระเบีย สร้างเซอร์ไพรส์ สอยอาร์เจนตินา 2-1 

นี่เป็นครั้งแรกที่ อาร์เจนตินา แพ้ในเกมฟุตบอลโลกเมื่อขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่ปี 1958 (กับเยอรมนีตะวันตก) ขณะที่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาแพ้เมื่อขึ้นนำในครึ่งเวลาแรกในปี 1930 ซึ่งอุรุกวัยพ่ายแพ้ในรอบสุดท้ายของปีนั้น นอกจากนี้จากข้อมูลของ Gracenote Live นี่ถือเป็นสถิติการแพ้พลิกล็อกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ซึ่งแซงหน้าชัยชนะของสหรัฐฯ เหนืออังกฤษในปี 1950

ขณะที่ในกลุ่มอื่นๆ ก็มีการพลิกล็อกไม่ต่างกัน ในกลุ่ม อี โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่พลิกกลับมาแซงชนะเยอรมนี ซึ่งทางทีม “อินทรีเหล็ก” แพ้ทั้งที่ขึ้นนำในครึ่งแรกเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี

แม้ญี่ปุ่น จะสร้างความประหลาดใจในนัดประเดิม แต่เกมถัดมาก็มาพลาดท่าให้ คอสตาริกา 0-1 ทั้งๆ ที่เกมนี้ทีม “กล้วยหอม” ได้สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษ เพียง 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งทางคอสตาริกา เองก็กลายเป็นทีมที่ชนะน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ทัวร์นาเมนต์ จากนั้นญี่ปุ่น ก็กลับมาชนะสเปน ได้แบบเหลือเชื่ออีกครั้ง

ทั้งๆ ที่ครองบอลได้เพียง 17.7% ซึ่งเป็นเปอร์เซนต์ ต่ำที่สุดในบรรดาทีมที่ชนะในประวัติศาสตร์ ขุนพล “ซามูไร” กลายเป็นเพียงทีมที่ 3 ที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังและสามารถพลิกกลับมาชนะได้ ต่อจากบราซิล (1938) และเยอรมนี (1970)

ว่ากันว่าในทุกทัวร์นาเมนต์ จะมีทีมชาติมหาอำนาจในรอบแบ่งกลุ่ม ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ที่รัสเซียในปี 2018 เยอรมนี ร่วงตกรอบ และครั้งนี้ก็เช่นกัน โดยในครั้งนี้ทีมอินทรีเหล็กมีค่า xG (Expected Goals )ความน่าจะเป็นของการได้ประตู อยู่ที่ 3.53 (เทียบกับญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นตัวเลขที่แพ้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์

อีกเรื่องที่เป็นเรื่องตลกคือ ผู้ทำประตูในรอบแบ่งกลุ่มของญี่ปุ่นทั้งสามคนต่างก็ค้าแข้งในบุนเดสลีกา ลีกของเยอรมนี ที่ครั้งนี้ตกรอบ 

ขณะที่อีกหนึ่งสถิติในฟุตบอลโลก ครั้งนี้คือ ไม่มีทีมใดจาก 32 ทีมที่ชนะรวดในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งถือเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพ

ทีมจากแอฟริกามาเหนือความคาดหมาย

ฟุตบอลโลกครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลของทีมจากแอฟริกา โดยตัวแทน 5 ทีมจากโซนนี้ คว้าชัยชนะ 9 ครั้ง ทำลายสถิติเดิมที่ทำได้ 4 ครั้งเมื่อปี 2010 สิ่งนี้สำคัญเพราะทั้ง 5 ทีมมีผู้จัดการทีมที่เป็นชาวแอฟริกันเป็นครั้งแรก

เซเนกัล ที่เข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการชนะเอกวาดอร์ ในรอบแบ่งกลุ่มที่ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมจากแอฟริกาชนะทีมจากอเมริกาใต้ในรอบ 32 ปี 

ขณะที่ แคเมอรูน กลายเป็นทีมจากแอฟริกาทีมแรกที่สามรารถชนะบราซิลในฟุตบอลโลก ขณะที่ตูนิเซียชนะฝรั่งเศสเป็นชัยชนะครั้งแรกในฟุตบอลโลกกับทีมจากนอกคอนคาเคฟ  ด้าน กาน่า ก็เบียดชนะเกาหลีใต้ 3-2 

ด้าน โมร็อกโก ถือว่าเป็นทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ และเป็นม้ามืดตัวจริง หลังจากเป็นทีมแรกจากทวีปแอฟริกา ที่ผ่านเข้าสู่รอบลึกถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก  โดยผ่านได้ทั้ง เบลเยียม สเปน และโปรตุเกส นอกจากนี้ ยาสซีน บูนู ยังเป็นผู้รักษาประตูชาวแอฟริกันคนแรกที่เก็บคลีนชีตได้มากถึง 3+ ขึ้นไป และทำให้ โมร็อกโก เป็นเพียงทีมที่ 6  (ตั้งแต่ปี 1986) ที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศโดยเสียเพียงประตูเดียว (ไม่นำรวมต่อเวลาพิเศษ )

ทัวร์นาเมนต์ประวัติศาสตร์ของเอเชียด้วย

หากไม่นับกาตาร์ ที่ได้สิทธิ์เข้ามาในฐานะเจ้าภาพ และสร้างสถิติอันเลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นแพ้ในเกมเปิดสนาม แพ้ทั้ง 3 ในรอบแบ่งกลุ่ม และจบอันดับบ๊วยของกลุ่ม หลังจากมีเวลา 4,371 วันในการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพ แต่เล่นไปเพียง 6 วันเท่านั้นกลับต้องร่วงตกรอบ

หันมาดูที่ ญี่ปุ่น ที่แม้จะอยู่ในกลุ่มกรุ๊ปออฟเดธ แต่ก็สามารถเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่ม อี ด้วยการชนะอดีตแชมป์โลกปี 2010 และ 2014 อย่าง เยอรมนี กับ สเปน ไปได้ ด้าน ออสเตรเลีย ที่อาศัยโควตา เอเอฟซี ก็ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ ในทัวร์นาเมนต์นี้เป็นครั้งที่ 2  โดยเก็บคลีนชีตได้ 2 จาก 3 เกม 

ทำให้ในฟุตบอลโลก 2022 จึงเป็นครั้งแรกที่มีตัวแทนจากเอเอฟซี และแอฟริกา และ คอนคาเคฟ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมเป็นจำนวนเกินกว่าเป้า คือ 6 จาก 16 ทีมสุดท้าย และเป็นรอบน็อกเอาต์ที่หลากหลายที่สุดเท่าที่เคยมีมา 

คอนเทนต์แนะนำ

ทำลายสถิติ

ในฟุตบอลโลก 2022 มีการทำลายสถิติมากมาย เริ่มจากเกมนัดเปิดสนาม กาตาร์ พบ เอกวาดอร์ นัดนี้เป็นเกมที่มีโอกาสยิงเพียง 11 ครั้ง น้อยสุดในบรรดาแมตช์ฟุตบอลโลก ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเกม เซเนกัล แพ้ โคลอมเบีย 0-1 ในปี 2018 นอกจากนั้นช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่เป็นไปอย่างยาวนาน เนื่องจากฟีฟ่าให้เหตุผลคือเก็บทุกช่วงเวลาที่หยุดไปมาทดเจ็บ ส่งผลให้เกม ระหว่าง อังกฤษกับ อิหร่าน จากเวลาปกติที่เล่น 90 นาที ทำให้ต้องเล่นไปถึง 117 นาที 16 วินาที (หลังจากมีจังหวะหยุดเกมมากมาย) ส่งผลให้นัดนี้กลายเป็นเกมที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก (ไม่รวมช่วงต่อเวลาพิเศษ) และอีกเกมก็คือเกมที่ อิหร่าน ชนะ เวลส์ 2-0 ซึ่ง 2 ประตูนั้นเกิดขึ้นในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+8 และ 90+11 ซึ่งถือเป็นประตูชัยในประวัติศาสตร์การแข่งขัน 

ส่วนกุนซือที่วินัยแย่ที่สุดในทัวร์นาเมนต์คงจะหนีไม่พ้น เปาโล เบนโต้ ผู้จัดการทีมเกาหลีใต้โดนเตือนช่วงทดเจ็บในเสมออุรุกวัย ก่อนจะมาถูกใบแดงในเกมที่แพ้ต่อกานา 

เปเป้ ปราการหลังทีมชาติบราซิล กลายเป็นผู้ทำประตูรอบน็อกเอาต์ เป็นอันดับ 2  ในฟุตบอลโลก รองจาก โรเจอร์ มิล่า ของแคเมอรูน โดยในรอบเดียวกันนี้ กอนซาโล่ รามอส  วัย 21 ปียังทำแฮตทริกได้ในเกมที่ชนะสวิตเซอร์แลนด์ 6-1  ซึ่งถือเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำได้ในรอบน็อกเอาต์ นับตั้งแต่  โธมัส สคูราวี่ จากเชคโกสโลวาเกียทำได้ในศึกฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี อย่างไรก็ตามช่องว่างระหว่างอายุของทั้งคู่อยู่ที่ 6,689 วัน ซึ่งเป็นช่องว่างห่างลำดับ 2  ในการทำประตูโดยอันดับ 1 คือ โรเจอร์ มิลล่าและดมิทรี แรดเชนโก ที่มีชื่องว่าง 6,770 วัน ในการแข่งขันที่สหรัฐอเมริกาปี 94

ขณะที่เกม เนเธอร์แลนด์ ดวลกับ อาร์เจนตินา ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งเกมนี้ อาร์เจนตินา ชนะจุดโทษ แต่ก็มีใบเหลืองมากที่สุดในฟุตบอลโลก คือ 18 ใบด้วยกัน 

ส่วนสถิติที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ ลิโอเนล เมสซี่ กลายเป็นแข้งที่ลงเล่นฟุตบอลโลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ 26 นัด แซงหน้าสถิติของโลธาร์ มัทเธอุส กัปตันทีมชาติเยอรมนี ที่ทำไว้ 25 นัด นอกจากนี้มีนักเตะเพียง 29 คนที่แพ้นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเท่านั้นที่มีโอกาสลงเล่นอีกครั้ง ซึ่ง เมสซี่ ก็กลายเป็นคนที่ 14 ที่คว้าชัยชนะได้ในการลงเล่นครั้งที่ 2 ของนัดชิงชนะเลิศ 

ขณะที่ คีเลียน เอ็มปัปเป้ นอกจากจะคว้าตำแหน่งดาวซัลโว 8 ประตู กับการที่ฝรั่งเศส ได้เพียงรองแชมป์ แต่ดาวเตะจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยังสามารถทำแฮตทริกในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปี  หลังจากที่ “เซอร์ เจฟฟ์ เฮิร์สต์” อดีตยอดกองหน้าทีมชาติอังกฤษ เคยทำได้ในนัดชิงชนะเลิศ เมื่อปี 1966

คอนเทนต์แนะนำ

ด้าน ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ กลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 4 ที่นำทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2 สมัยติดต่อกัน ต่อจาก วิตตอร์ริโอ ปอซโซ่ (1934, 1938), คาร์ลอส บิลาร์โด้ (1986, 1990) และ ฟรานซ์ เบคเค่นเบาเออร์ (1986, 1990) โดย ปอซโซ่ เป็นคนเดียวที่ชนะทั้งคู่

ในรายของ คริสเตียโน โรนัลโด้  จดสถิติเป็นนักเตะที่ลงเล่นฟุตบอลโลก 5 สมัย (2006, 2010, 2014, 2018 และ 2022)และยังเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่ทำประตูได้ทั้ง 5 ครั้งที่ลงเล่นหลังจากยิงจุดโทษในเกมที่ชนะกาน่า 3-2 ในรอบแบ่งกลุ่ม 

อีกหนึ่งสถิติที่น่าสนใจ คือ บาเยิร์น มิวนิค และ อินเตอร์ มิลาน กลายเป็นทีมที่มีนักเตะผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศศึกฟุตบอลโลกต่อเนื่องกันยาวนานถึง 11 สมัยติดต่อกัน นับตั้งแต่เวิลด์คัพ 1982 หรือเป็นเวลา 40 ปีต่อเนื่อง          
 

ฟอร์มแข้ง บัลลงดอร์ 

ลิโอเนล เมสซี่ กลายเป็นผู้ทำประตูฟุตบอลโลกที่อายุน้อยที่สุดและอายุมากที่สุดของอาร์เจนตินา หลังจบฟุตบอลโลกครั้งนี้กัปตันทีมฟ้าขาว โดนทำฟาวล์รวมทั้งหมดไปแล้ว 65 ครั้ง แม้ว่าจะน้อยกว่าดิเอโก้ มาราโดน่า ที่โดนถึง 87 ครั้งตาม ซึ่งเน้นให้เห็นถึงความแตกต่างในยุคต่างๆ เมสซีทำประตูได้ 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศ และกลายเป็นคนที่ 2 ที่ทำประตูได้ในแต่ละรอบของฟุตบอลโลกครั้งเดียว รองจาก แซร์จินโญ่ในปี 1970

ลูก้า โมดริช กองกลางในวัย 37 ปีของโครเอเชีย ถือเป็นผู้เล่นคนแรกที่ได้เล่นฟุตบอลโลกและชิงแชมป์ยุโรปใน 3 ทศวรรษที่แตกต่างกัน โมดริช เป็นแข้งรายที่ 4 ที่มีอายุมากกว่า 37 ปี ที่ออกสตาร์ต 4 นัดในทัวร์นาเมนต์เดียวเหมือนก่อนหน้านี้ที่ นิลตัน ซานโตส แบ็คซ้ายบราซิล ทำไว้ในปี  (1962) และผู้รักษาประตู ดิโน่ ซอฟฟ์ จากอิตาลี ทำไว้เมื่อปี (1982) และปีเตอร์ ชิลตัน นายทวารจากอังกฤษ  ที่ลงเล่นในปี (1990) 

ขณะที่ในฟุตบอลโลก 3 ครั้งหลังสุด มีเพียง 4 คนเท่านั้น ที่สามารถทำประตูได้ นั่นก็คือ ลิโอเนล เมสซี, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เซอร์ดาน ชาคิรี และ อีวาน เปริซิช

ด้าน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จดสถิติเป็นนักเตะที่ลงเล่นฟุตบอลโลก 5 สมัย (2006, 2010, 2014, 2018 และ 2022) และยังเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่ทำประตูได้ทั้ง 5 ครั้งที่ลงเล่นหลังจากยิงจุดโทษในเกมที่ชนะกาน่า 3-2 ในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ทว่าในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เจ้าตัวกลับไม่ได้ออกสตาร์ต  ที่ทีมไล่ถล่ม สวิตเซอร์แลนด์ 6-1   ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ดาวเตะวัย 37 ปี ได้ลงเป็นตัวจริง 36 นัดติดต่อกัน ตั้งแต่ยูโร 2008 


 

เจเนอเรชั่นใหม่

ขณะเดียวกันผู้เล่นอายุน้อยบางรายก็สร้างชื่อให้ตัวเองเช่นกัน

นักเตะที่ฉายแสงเกินอายุสามารถสร้างชื่อให้ตัวเอง เริ่มตั้งแต่ จู๊ด เบลลิงแฮม กลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดอันดับ 2  ของอังกฤษที่ทำประตูในฟุตบอลโลก และอายุน้อยที่สุดที่ออกสตาร์ทในรอบน็อกเอาต์ของ “ทรีไลอ้อนส์”

โคดี้ กักโป อีกหนึ่งดาวรุ่งที่กำลังจะย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล….ทำประตูได้ทั้ง 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่มให้กับเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้ยังเป็นเพียงผู้เล่นรายที่ 2 ที่ประสบความสำเร็จในรอบแบ่งกลุ่ม ต่อจากอเลสซานโดร อัลโตเบลลี่  ที่เคยทำได้ในฟุตบอลโลกที่ เม็กซิโก ปี1986

โมฮาเหม็ด คูดุส ดาวโรจน์ของกาน่า กลายเป็นผู้เล่นแอฟริกันที่อายุน้อยที่สุดอันดับ 2  ที่ทำประตูในฟุตบอลโลก โดยทำสองประตูในการเจอกับเกาหลีใต้

สเปนอาจตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ชัดเจนว่าอนาตของทีม “กระทิงดุ”  คือ กาบี และเปดรี  สเปน เป็นทีมยุโรปทีมแรกที่ใส่ชื่อดาวรุ่งในชุด 11 ตัวจริง หลังจากบัลแกเรีย เคยทำเช่นนี้เมื่อ 60  ปีก่อน นอกจากนี้  กาบี ยังกลายเป็นคนทำประตูที่อายุน้อยที่สุด นับตั้งแต่เปเล่  เคยทำไว้เมื่อปี  1958 เช่นเดียวกับ และยังเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่เล่นในเกมรอบน็อคเอาต์ เหมือนที่เปเล่ ทำในปีเดียวกัน

ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย คีเลียน เอ็มบัปเป้ ทำประตูที่ 250 ในอาชีพของเขา โดยทำได้ในเกมอาวุโส 360 นัด ซึ่งหมายความว่า เอ็มปัปเป้ ประสบความสำเร็จเร็วกว่า ลิโอเนล เมสซี  ถึง 19 เกม และเร็วกว่า คริสเตียโน โรนัลโด้ 150 เกม

แน่นอนว่า ฟุตบอลโลก ครั้งแรก ในประเทศตะวันออกกลาง อย่างกาตาร์ 2022 มีปัญหามากมายตั้งแต่เริ่ม แต่ความทรงจำในสนามจะยังคงอยู่ตลอดไป 

Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.