ยุติอาชีพค้าแข้ง! “อมร” ร่ายยาวหลังประกาศแขวนสตั๊ด
หลังจากที่ อมร ธรรมนาม แข้ง “ต่อพิฆาต” กล่าวอำลาอาชีพนักฟุตบอลในนัดที่ พีที ประจวบ เอฟซี เปิดบ้านพ่าย ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด 0-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมานั้น ล่าสุดเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่ทำให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จในอาชีพนักฟุตบอล
โดยเจ้ามรได้โพสต์ข้อความว่า “วันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากในการที่ต้องบอกกล่าวอำลาทุกๆท่าน ทั้งเพื่อนๆพี่น้องที่เคยร่วมงานตลอดเส้นทางการค้าแข้ง ทั้งสื่อมวลชนที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา ทั้งผู้ใหญ่ใจดีผู้ที่มีพระคุณต่อตัวผมหลายท่านมากๆจนไม่สามารถเอ่ยนามได้ทั้งหมดตลอดจนมิตรรักแฟนบอลทุกๆท่านที่พลักดันและสนับสนุนผม มอบโอกาสให้ผมจนมามีวันนี้ได้อย่างสง่างาม วันนี้ผมไม่เสียใจเลยที่จะยุติบทบาทการเป็นนักฟุตบอลอาชีพลง เพราะฟุตบอลเป็นสิ่งที่มีพระคุณต่อผมมาก ฟุตบอลได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับชีวิตผมจนไม่รู้จะบรรยายและบอกกล่าวอะไรได้อีก หลังจากนี้ไปผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงจะได้พบกันอีกไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตามฟุตบอลจะอยู่กับผมไปตลอดชีวิตหลังจากนี้ จนกว่าจะได้พบกันอีกนะครับทุกคน
สุดท้ายนี้ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีผู้ที่มีพระคุณและสร้างผมมาจนทำให้ผมมีวันนี้ได้
-ขอบคุณพ่อกับแม่ที่เลี้ยงดูสั่งสอนและเชื่อใจให้ผมเป็นตัวของตัวเอง
-ขอบคุณครูสมพันธ์ สุทธิศิลป์ โค้ชฟุตบอลคนแรกผู้ที่ปลุกปลั้นผมมากับมือ
-ขอบคุณพี่โป้ง กฤษณ์ สิงห์ปรีชา ผู้หอบเอาโอกาสไปให้ผมถึงหน้าบ้านที่โคราชบ้านเกิดของผม
-ขอบคุณอาจารย์แม่ อ.มารยาท นันทแพทย์ ที่ให้โอกาสผมได้มีการศึกษาควบคู่ไปกับฟุตบอลที่ ม.นอร์ทกรุงเทพ
-ขอบคุณลุงวิ คุณระวิ โหลทอง ผู้ชุบตัวผมจนได้ดิบได้ดีจนถึงวันนี้
-ขอบคุณพี่ท๊อป คุณวราวุฒิ ศิลปอาชา พี่ชายที่รักดูแลและเป็นห่วงน้องคนนี้อยู่ห่างๆ
-ขอบคุณ Mr.Robert Procureur ผู้ที่สอนวิชาธุรกิจให้ตัวผม
-ขอบคุณพี่วัง ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ผู้ที่มอบโอกาสและฉุดดึงผมขึ้นมาจากความสิ้นหวัง
-ขอบคุณนายกเกียร์ คุณทรงเกียรติ ลิ้มอรุณรักษณ์ ผู้ที่มีอุปการะคุณกับผมมากๆและเป็นผู้ที่มอบเกียรติอันยิ่งใหญ่และสง่างามให้กับผมในวันนี้
สุดท้ายนี้ผมขอบคุณผู้ใหญ่ทุกๆท่านที่ผมยังไม่ได้เอ่ยนามมา ณ โอกาสนี้ที่มอบความรักความเมตตาให้กับตัวผมเสมอมาและตลอดไป
รักและเคารพ อมร ธรรมนาม
อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร
Add friend ที่ @Siamsport
ฟุตบอลฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง
This website uses cookies.