เปิดประวัติ.! สโมสร ลิเวอร์พูล ทีมเก่าแก่ที่มีแฟนบอลมากมายทั่วโลก

มาทำความรู้จักประวัติของ สโมสร ลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และเป็นทีมที่มีฐานกองเชียรืที่มากทีมหนึ่งของโลกจากอดีดจนถึงปัจจุบัน 

ประวัติสโมสรลิเวอร์พูล

  • ชื่อเต็ม : Liverpool Football Club
  • ฉายา : เดอะ เร้ดส์ / หงส์แดง (ฉายาในประเทศไทย)
  • ก่อตั้ง : 3 มิถุนายน ค.ศ. 1892 (130 ปี)
  • สนาม : แอนฟีลด์ (ความจุ: 53,394 ที่นั่ง)
  • เจ้าของ : เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป
  • ประธาน : ทอม วอร์เนอร์
  • ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (อังกฤษ: Liverpool Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่อยู่ในเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งในปีค.ศ. 1892 ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกในปีต่อมาและใช้สนามแอนฟิลด์เป็นสนามเหย้าตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นวันที่ 15 มีนาคม 1892 โดย จอห์น โฮลดิง (John Houlding) นักธุรกิจท้องถิ่น ที่เช่าพื้นที่บริเวณถนนแอนฟิลด์ ของเมืองลิเวอร์พูลเพื่อสร้างสนามฟุตบอล และได้ปล่อยให้สโมสรเอฟเวอร์ตันเช่าในปี 1884 จนกระทั่งเอฟเวอร์ตันเข้าเป็นสมาชิกฟุตบอลลีก และไม่ต่อสัญญาเช่าอีกในปี1892

เนื่องจาก โฮลดิ้ง ต้องการขึ้นค่าเช่าสนามและพยายามจะเข้าบริหารงานของสโมสร ทำให้ เอฟเวอตัน ตัดสินใจย้ายไปใช้สนามอีกฝากของสวนสาธารณะสแตนลี่ย์พาร์ค และใช้ชื่อสนามว่า กูดิสัน พาร์ค มาจนถึงทุกวันนี้ และเมื่อสนามไม่ได้ใช้ประโยชน์ โฮลดิง จึงตั้งทีมฟุตบอลขึ้นโดยตั้งชื่อทีมว่า ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ และใช้เรื่อยมาจถึงปัจจุบันนี้

ลิเวอร์พูลลงแข่งขันครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กันยายน 1892 เป็นการแข่งขันนัดกระชับมิตรก่อนเริ่มฤดูกาล โดยเอาชนะ ร็อตเตอร์แฮม ทาวน์ 7-1 โดยผู้เล่นลิเวอร์พูลที่ลงสนามในนัดดังกล่าวนั้นเป็นชาวสกอตแลนด์ทั้งหมด โดยผู้เล่นที่มาจากสกอตแลนด์เพื่อมาเล่นในอังกฤษในเวลานั้น มักจะเรียกว่า “สก็อตจ์โปรเฟสเซอร์ส”

ซึ่ง จอห์น แม็คเคนนา ที่รับบทผู้จัดการทีมในตอนนั้นเดินทางไปสกอตแลนด์เพื่อมองหาผู้เล่น หลังคัดเลือกผู้เล่นแล้ว พวกเขากลายเป็นที่รู้จักในนาม “ทีมออฟแมกส์” พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์แคว้นแลงคาเชียร์ด้วยผลงานชนะ17 จาก 22 เกมที่ลงเล่น

จากผลงานดงกล่าวทำให้ใทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกได้ โดยเริ่มต้นลงเล่นดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 ซึ่งเก็บชัยชนะได้แบบ 100% (28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสอง ซึ่งทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ นิวตัน ฮีธ หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน และลิเวอร์พูลเอาชนะ 2-0 ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้ในที่สุด

ปี 1914 ลิเวอร์พูลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของเอฟเอคัพครั้งแรกแต่อกหักแพ้ เบิร์นลีย์ 0-1 ก่อนที่จะมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสองสมัยติดต่อกันในปี 1922 และ 1923 แล้วก็ไม่ได้สัมผัสโทรฟี่อีกเลยจนกระทั่งฤดูกาล 1946-47 มาคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 เป็นสมัยที่ห้าของสโมสร

ฤดูกาล 1953-54 ลิเวอร์พูลต้องตกชั้นไปเล่นดิวิชั่น 2 จากนั้นผลงานก็ยังไม่ดีขึ้นถึงขนาดแพ้ Worcester City สโมสรจากนอกลีก 1-2 ตกรอบเอฟเอคัพ ฤดูกาล 1958-59 ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนของสโมสรเมื่อทีมแต่งตั้ง บิลล์ แชงค์ลี่ย์ (Bill Shankly) เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่

14 ธันวาคม 1959 แชงค์ลี่ย์ รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เขาปล่อยผู้เล่น 24 คนออกจากทีม และทำการเปลี่ยนแปลงห้องเก็บรองเท้าที่สนามแอนฟีลด์ให้กลายเป็นห้องสำหรับผู้ฝึกสอนวางแผนการเล่น ถือกำเหนิด “บูทรูมสต๊าฟฟ์” อันเลื่องชื่อ ซึ่งประกอบไปด้วย โจ เฟแกน, รูเบน เบนเน็ตต์ และ บ๊อบ เพสลีย์

แชงค์ลี่ย์ พาทีมเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี 1962 ก่อนที่อีกสองปีต่อมาพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้เป็นครั้งแรกรอบ 17 ปี จากนั้นพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรกในปี 1965 และปีต่อมาก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่แพ้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ฤดูกาล 1965-66

ฤดูกาล 1972-73 แชงค์ลี่ย์ พาลิเวอร์พูลคว้าดับเบิลแชมป์ทั้งแชมป์ดิวิชั่น 1 และ ยูฟ่า คัพ จากนั้นคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่สองในปีถัดมา ก่อนประกาศวางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเมื่อ 12 กรกฏาคม 1974 และบ๊อบ เพสลีย์ ผู้ช่วยของเขา ขึ้นเป็นผู้จัดการทีมแทน

ปี 1976 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่สองที่ เพสลีย์ เป็นผู้จัดการทีมเขาพา “หงส์แดง” คว้าแชมป์ลีกสูงสุดและยูฟ่า คัพ อีกครั้ง และในฤดูกาลถัดมา ลิเวอร์พูลชวดทริปเปิ้ลแชมป์อย่างน่าเสียดายเมื่อคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นสมัยที่ 10 ของสโมสรรวมทั้งชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แต่แพ้ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ 

ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ อีกครั้งในปี 1978 และแชมป์ลีกสูงสุดในปี 1979 โดยตลอด 9 ฤดูกาลที่เพสลีย์เป็นผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูลคว้าถ้วยรางวัล 20 ใบ รวมไปถึงยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัย, ยูฟ่า คัพ 1 สมัย, ลีกสูงสุด 6 สมัย และ ลีก คัพ 3 สมัยติดต่อกัน โดยการแข่งขันในประเทศรายการเดียวที่เขาไม่ได้แชมป์คือเอฟเอ คัพ

1 กรกฎาคม 2526 เพสลีย์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง และเป็น โจ เฟแกน ขึ้นเป็นผู้จัดการทีมแทน โดยเพียงฤดูกาลแรกของเฟแกน เขาพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุด, ลีกคัพ และ ยูโรเปี้ยน คัพ กลายเป็นสโมสรจากอังกฤษทีมแรกที่คว้า 3 แชมป์ในหนึ่งฤดูกาล

ลิเวอร์พูลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ อีกครั้งในปี 1985 นอกจากจะแพ้ ยูเวนตุส 0-1 แล้วยังเกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้น เมื่อแฟนบอลของทั้งสองทีมมีการปะทะกันจนทำให้กำแพงที่กั้นพังลงมาและมีผู้เสียชีวิต 39 คนจากโศกนาฏกรรมดังกล่าว

ส่งผลให้สโมสรจากอังกฤษโดนห้ามเข้าร่วมการแข่งขันถ้สยยุโรปเป็นเวลา 5 ปี ขณะที่สโมสรลิเวอร์พูลได้รับโทษห้ามเข้าร่วมการแข่งขันเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งต่อมาลดเหลือ 6 ปี ขณะที่แฟนบอลลิเวอร์พูล 14 คนได้รับโทษจากความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ เฟแกน ตัดสินใจลาออกจากการคุมทีม โดย เคนนี่ ดัลกลิช กลายเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสร และเขาพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งลีกสูงสุด และ เอฟเอ คัพ ได้ตั้งแต่การคุมทีมปีแรก

ระหว่างที่ ดัลกลิช คุมทีมเขาพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัย และเอฟเอ คัพ สองสมัย รวมไปถึงการได้ดับเบิ้ลแชมป์จากการชนะเลิศลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาล 1985-86 

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของลิเวอร์พูลถูกบดบังด้วยภัยพิบัติฮิลส์โบโร่ ซึ่งเป็นการแข่งขันเอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ ที่พบกับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 1989 โดยแฟนบอลลิเวอร์พูลร้อยกว่าคนถูกบีบอัดติดกับรั้วกั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 94 คนในวันนั้น และสี่วันต่อมา ผู้เคราะห์ร้ายคนที่ 95 เสียชีวิตที่โรงพยาบาลจากอาการบาดเจ็บ และเกือบสี่ปีต่อมา ผู้เคราะห์ร้ายคนที่ 96 ก็เสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลทบทวนเรื่องความปลอดภัยของสนามกีฬาและออกกฎหมายให้สนามกีฬาของสโมสรลีกสูงสุดต้องเป็นแบบมีที่นั่งทั้งหมด 

ฤดูกาล 1988-89 ลิเวอร์พูล ชวดแชมป์ลีกสูงสุดอย่างน่าเสียดายเมื่อจบฤดูกาลด้วยคะแนนและผลต่างประตูเท่ากับอาร์เซน่อล แต่จำนวนประตูได้น้อยกว่า เมื่ออาร์เซน่อลทำประตูลูกสุดท้ายได้ในนาทีสุดท้ายของฤดูกาล

ดัลกลิช ประกาศลาออกในปี1991 เนื่องจากทนรับความเครียดจากเหตุการณ์เศร้าสลดที่ สนามฮิลส์โบโร่ ไม่ไหว และเป็น แกรม ซูเนสส์ อดีตผู้เล่นลิเวอร์พูล เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน

ภายใต้การคุมทีมของ แกรม ซูเนสส์ ลิเวอร์พูลชนะเลิศเอฟเอคัพ ในปี 1992 แต่ผลงานในลีกไม่ค่อยดีจบอันดับที่ 6 สองฤดูกาลติดต่อกัน ทำให้ ซูเนสส์ ถูกปลดในเดือนมกราคม 1994 และ รอย อีแวนส์ เข้ารับตำแหน่งแทน

ภายใต้การคุมทีมของอีแวนส์ ลิเวอร์พูลชนะเลิศฟุตบอลลีก คัพในปี 1995 และจบอันดับที่ 3 ในลีกปี 1996 และ 1998 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้ ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงดึง เชราร์ อุลลิเยร์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมร่วมกับอีแวนส์ในฤดูกาล 1998-99 และกลายเป็นผู้จัดการทีมเดี่ยวในเดือนพฤศจิกายน1998 หลังอีแวนส์ลาออก

ปี 2001 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่สองที่ อุลลิเยร์ คุมทีมเต็มฤดูกาล ลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ทั้ง เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และ ยูฟ่า คัพ ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้ารับการผ่าตัดหัวใจระหว่างฤดูกาล 2001-02 และลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 2 ในลีกตามหลังอาร์เซน่อล ก่อนค้วาแชมป์ลีกคัพในปี 2003 แต่ก็ยังไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในสองฤดูกาลถัดมา

ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมชาวสเปนเข้ารับตำแหน่งแทน อุลลิเยร์ หลังจบฤดูกาล 2003-04 โดยเขาพาทีมจบอันดับที่ 5 ในลีก และคว้าแชปม์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2004-05 ด้วยการเอาชนะเอซี มิลาน ในการดวลจุดโทษ ฤดูกาลถัดมา ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก และชนะเลิศเอฟเอคัพ ก่อนที่นักธุรกิจชาวอเมริกัน จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ จะกลายเป็นเจ้าของสโมสรระหว่างฤดูกาล 2006-07 หลังตกลงซื้อหุ้นของสโมสรซึ่งมีมูลค่ารวมกับหนี้คงค้างที่ 218.9 ล้านปอนด์

ปี 2007 ลิเวอร์พูลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งพบกับเอซี มิลาน อีกครั้งแต่คราวนี้แพ้ 1-2 ช่วงระหว่างฤดูกาล 2008-09 ลิเวอร์พูลทำคะแนน 86 แต้ม เป็นสถิติของสโมสรที่ทำคะแนนเยอะที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีกในเวลานั้นแต่ยังไม่ดีพอคว้าแชมป์ลีกเมื่อจบอันดับที่ 2 ตามหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 คะแนน

ฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ทำให้ไม่ได้สิทธิ์เข้าแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ส่งผลให้ เบนิเตซ ลาออกจากตำแหน่ง และเป็น รอย ฮ็อดจ์สัน เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน

ช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010-11 ลิเวอร์พูลนั้นเสี่ยงต่อการล้มละลายและเจ้าหนี้ของสโมสรขอให้ศาลสูงอนุญาตให้มีการขายสโมสรโดยปฏิเสธคำขอของฮิกส์และยิลเลตต์ ทำให้ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เจ้าของทีมบอสตัน เรดซ็อกซ์ และ เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ป ประมูลสโมสรสำเร็จและได้เป็นเจ้าของในเดือนตุลาคม 2010

ผลการแข่งขันที่ย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ ฮ็อดจ์สัน ลาออกจากตำแหน่งและสโมสรแต่งตั้ง  เคนนี่ ดัลกลิช อดีตผู้เล่นและผู้จัดการทีมมาคุมทีมอีกครั้ โดยฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกคัพเป็นสมัยที่ 8 และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ แต่กลับจบอันดับที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี ทำให้ ดัลกลิช ถูกไล่ออก และเบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้ารับตำแหน่งนี้แทน

ฤดูกาล 2013-14  ร็อดเจอร์ส เกือบพาลิเวอร์พูลคว้าพรีเมียร์ลีกเมื่อทำประตูในลีกได้ถึง 101 ลูก นับเป็นการทำประตูมากที่สุดตั้งแต่ฤดูกาล 1895-96 ที่ทำประตูไป 106 ลูก แต่ก็ได้เพียงอันดับที่ 2 รองจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามหลังเพียง 2 แต้ม พร้อมกับได้สิทธิ์กลับไปแข่งขันในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผลงานอันน่าผิดหวังในฤดูกาล 2014-15 ซึ่งลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 6 ในลีก และการเริ่มต้นฤดูกาล 2015-16 ที่ย่ำแย่ ทำให้ ร็อดเจอส์ ถูกไล่ออกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันเข้ามารับงานต่อจากร็อดเจอส์ ในฤดูกาลแรกเขาพาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลลีก คัพ และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก แต่จบด้วยการเป็นรองแชมป์ทั้งสองรายการจากนั้น ฤดูกาล 2018-19 ลิเวอร์พูลขยับเข้าใกล้แชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้งเมื่อแพ้เพียงแค่เกมเดียวตลาดซีซั่นและทำได้ถึง 97 แต้ม แต่ก็ยังเป็นรองแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 1 แต้ม

คล็อปป์ พาสโมสรเข้ารอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สองปีติดต่อกันในปี 2018 และ 2019 โดยสมหวังครองแชมป์หลังเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 2-0 ในนัดชิงชนะเลิศ ปี 2019 จากนั้นเอาชนะ ฟลาเมงโก สโมสรจากบราซิล 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 ทำให้ลิเวอร์พูลชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งแรก

ฤดูกาล 2019-20 ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกรอบ 30 ปีและเป็นแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษสมัยที่ 19 พร้อมทำหลายสถิติรวมถึงการชนะเลิศลีกทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันอีก 7 นัดนับเป็นสโมสรที่ชนะเลิศลีกเร็วที่สุด และการทำคะแนน 99 แต้มเป็นสถิติใหม่ของสโมสร อีกทั้งการชนะในลีก 32 นัด นับเป็นสถิติร่วมของจำนวนนัดที่ชนะมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาลของลีกสูงสุดอีกด้วย

เกียรติประวัติ

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่น 1 / พรีเมียร์ลีก) ( 19 สมัย ) : 1900-01, 1905-06, 1921-22, 1922-23, 1946-47, 1963-64, 1965-66, 1972-73, 1975-76, 1976-77, 1978-79, 1979-80, 1981-82, 1982-83, 1983-84, 1985-86, 1987-88, 1989-90, 2019-20

แชมป์ดิวิชั่น 2 ( 4 สมัย ) : 1893-94, 1895-96, 1904-05, 1961-62

แชมป์เอฟเอคัพ ( 8 สมัย ) : 1964-65, 1973-74, 1985-86, 1988-89, 1991-92, 2000-01, 2005-06, 2021-22

แชมป์ลีกคัพ / อีเอฟแอลคัพ ( 9 สมัย ) : 1980-81, 1981-82, 1982-83, 1983-84, 1994-95, 2000-01, 2002-03, 2011-12, 2021-22

ฟุตบอลลีกซูเปอร์คัพ ( 1 สมัย ) : 1985-86

แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ( 6 สมัย ) : 1976-77, 1977-78, 1980-81, 1983-84, 2004-05, 2018-19

แชมป์ยูฟ่าคัพ ( 3 สมัย ) : 1972-73, 1975-76, 2000-01

แชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ( 4 สมัย ) : 1977, 2001, 2005, 2019

แชมป์ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ ( 1 สมัย ) : 2019

ชนะเลิศคอมมิวนิตีชีลด์ ( 16 สมัย ) ( *แชมป์ร่วม ) : 1964*, 1965*, 1966, 1974, 1976, 1977*, 1979, 1980, 1982, 1986*, 1988, 1989, 1990*, 2001, 2006, 2022

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ประวัติ.! กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ดาวรุ่งไฟแรงของ อาร์เซน่อล และ บราซิล
  • ประวัติ.! ดาร์วิน นูนเญซ ดาวยิงความหวังค่าตัวแพงระยับของ ลิเวอร์พูล
  • ประวัติ.! กาเบรียล เชซุส กองหน้าตัวความหวังของทัพ ปืนใหญ่
  • เปิดประวัติ.! มิเกล อัลมิรอน พ่อมดจากปารากวัยของ นิวคาสเซิ่ล
  • เปิดประวัติ.! กาเซมีโร่ หนึ่งในยอดมิดฟิลด์ ตัวรับแห่งยุค
  • เปิดประวัติ.! ชูเอา คันเซโล่ ฟูลแบ็กจอมบุกของ แมนฯ ซิตี้ และ โปรตุเกส
  • โปรแกรมพรีเมียร์ลีก 2022/23 ตารางบอลพรีเมียร์ลีก พร้อมลิ้งก์ดูบอลสด
  • ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 2022/23 / แอสซิสต์ / คลีนชีท ศึกพรีเมียร์ลีก
  • ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2022/23 อัปเดตล่าสุด

————————————————-

วิธีการดูบอลพรีเมียร์ลีก 2022/23 ที่ TrueID : แพ็กเกจชมครบทุกคู่ – ซิมทรูชมทีมโปรดฟรี!

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ << คลิกที่นี่

อัพเดทข่าว ผลบอล พรีเมียร์ลีก แบบทันใจ พร้อมวิเคราะห์คู่เด่นในรอบสัปดาห์ ส่งถึงมือคุณ

คลิกเลย!! หรือ กด *301*32# โทรออก

หรือ อัพเดทข่าวบอลไทยลีก กด *301*36# โทรออก