Football Sponsored

สถิติชี้ “ลิเวอร์พูล” มีลุ้นพลิกเข้ารอบถ้วยยุโรป แค่ 22% – PPTVHD36

Football Sponsored
Football Sponsored

โดย PPTV Online เผยแพร่ ปรับปรุงล่าสุด

สถิติฟุตบอลถ้วยยุโรปมีสถิติที่ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ทีมที่แพ้นอกบ้านในสกอร์ 1-3 แบบ ลิเวอร์พูล สามารถพลิกเข้ารอบได้เพียง 22 เปอร์เซ็นต์ ก่อนที่ทัพ “หงส์แดง” จะลงเล่นนัดที่ 2 ในรอบ 8 ทีมกับ เรอัล มาดริด คืนนี้

สถิติชี้ “ลิเวอร์พูล” มีลุ้นพลิกเข้ารอบถ้วยยุโรป แค่ 22%

“ฟลิค” ผิดหวัง บาเยิร์น ตกรอบ 8 ทีม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

เรอัล มาดริด ยืนยัน “รามอส” ติดโควิด-19 พลาดบู๊ ลิเวอร์พูล

เกมในค่ำคืนนี้ ถึงแม้ ลิเวอร์พูล จะได้กลับมาลงเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ หลังจากนัดแรกบุกไปแพ้มาก่อน 1-3  แต่จากสถิติฟุตบอลสโมสรยุโรปที่บันทึกเอาไว้นับตั้งแต่ฤดูกาล 1970-71 เป็นต้นมา ปรากฏว่า ทีมเจ้าบ้านที่ชนะนัดแรกในสกอร์ 3-1 จำนวน 330 นัด สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ถึง 78 เปอร์เซ็นต์ ส่วนทีมเยือนที่แพ้นัดแรกด้วยสกอร์เดียวกัน สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบ ด้วยการเอาชนะในนัดที่ 2 ในบ้านตัวเองได้แค่ 22 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

นอกจากนี้ เรอัล มาดริด ยังสามารถผ่านเข้ารอบได้ถึง 15 จาก 16 ครั้งหลังสุดในรอบน็อกเอาต์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ชนะได้ก่อนนัดแรก โดยครั้งเดียวที่พลาดท่าตกรอบคือ แพ้ให้กับ อาแจ็กซ์ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2018-19 โดยนัดแรกบุกชนะมาได้ 2-1 แต่นัด 2 กลับแพ้คาบ้าน 1-4

อย่างไรก็ตามถึงแม้ “หงส์แดง” จะมีโอกาสเพียงแค่ 22 เปอร์เซ็นต์ แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของทีมก็ยังเชื่อว่า ลูกทีมของเขายังไม่หมดโอกาส และมีสิทธิ์สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการพลิกกลับมาเอาชนะได้อย่างแน่นอน

สำหรับ ลิเวอร์พูล เคยสร้างปาฏิหาริย์มาแล้ว ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ เมื่อฤดูกาล 2018/19 โดยเกมแรกบุกไปพ่าย บาร์เซโลน่า ขาดลอย 0-3 แต่กลับมาคว้าชัย 4-0 ที่ แอนฟิลด์ พลิกสถานการณ์ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ด้วยสกอร์รวมสองนัด 4-3 และสุดท้ายพวกเขาก็ได้แชมป์ในที่สุด

ด้าน ซีเนดีน ซีดาน กุนซือ เรอัล มาดริด ก็หวังที่จะนำทีมบุกมาคว้าชัยชนะที่แอนฟิลด์เช่นกัน โดยยืนยันว่า เขาได้กำชับลูกทีมไม่ให้ประมาทแม้จะมีประตูนำอยู่ 2 ลูกก็ตาม เพราะลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แข็งแกร่ง และเคยสร้างเซอร์ไพรส์ในลักษณะแบบนี้มาแล้ว

Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.