การที่ญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นทีม Underdog หรือทีมรอง สามารถเอาชนะแชมป์โลกหลายสมัยอย่างเยอรมนีและสเปนได้ถือเป็นการสร้างอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ให้วงการฟุตบอลโลก แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีม Underdog ทำผลงานได้น่าประทับใจเกินความคาดหมายในช่วง 90 ปีที่ผ่านมา มีทีม Underdog หลายทีมที่พลิกเอาชนะทีมที่มีชื่อเสียงและแกร่งกว่าได้ อย่างไรก็ตาม ในจำนวนทีมที่ถูกมองว่า เป็นทีมรองเหล่านี้ มีอยู่ด้วยกันอย่างน้อย 4 ทีมที่ถือได้ว่ามีความเป็น “สุดยอดUnderdog” ตามมุมมองของสื่อกีฬาระดับโลกหลายสำนัก
นับตั้งแต่ฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1930 ที่ประเทศอุรุกวัย เรื่อยมาจนถึงฟุตบอลโลกครั้งนี้ในปี 2022 ที่กาตาร์ จอมพลิกล็อคมีอยู่มากมายหลายทีม
หนึ่งจอมพลิกล็อคที่ช็อคโลกคือ เกาหลีเหนือ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แผ่นดินเกาหลีถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนโดยใช้เส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือ หรือเส้นขนานที่ 38 เป็นพรมแดนสมมติสหภาพโซเวียตได้ส่วนเกาหลีเหนือ ส่วนสหรัฐฯได้ส่วนเกาหลีใต้
ประธานฟีฟ่า เผย เกาหลีเหนือจัดฟุตบอลโลกได้ในอนาคต
สุดอลังการ !! พิธีเปิด ฟุตบอลโลก 2022 ที่ กาตาร์
การเผชิญหน้าทางอุดมการณ์เริ่มขึ้น พร้อมๆกับการสร้างเครื่องมือหล่อหลอมชาติ สำหรับเกาหลีเหนือ หนึ่งในนั้นคือ การสร้างทีมฟุตบอล
สมาคมฟุตบอลเกาหลีเหนือถูกก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปีเดียวกัน ก่อนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือ “ฟีฟ่า” ในปี 1958 หรืออีก 13 ปีต่อมา
เพียง 8 ปีหลังการเข้าเป็นสมาชิกฟีฟ่า ทัพนักเตะเกาหลีเหนือก็สร้างประวัติศาสตร์ได้ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก ในศึกฟุตบอลโลกปี 1966 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ โดยในครั้งนั้นเกาหลีเหนือถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ 4 ร่วมกับสหภาพโซเวียต อิตาลี และชิลี
ก่อนการแข่งขันนัดแรกจะเปิดฉากขึ้น บรรดานักวิเคราะห์และแฟนฟุตบอลทั่วโลกต่างคาดการณ์ว่า เกาหลีเหนือจะเป็นทีมที่ใครก็สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ และน่าจะจบการแข่งขันด้วยการอยู่ในอันดับสุดท้ายขอ
ในนัดแรก เกาหลีเหนือตัวแทนจากเอเชีย ประเดิมสนามแพ้สหภาพโซเวียตไป 0-3 แต่หลังจากนั้น ฟอร์มการเล่นของทัพนักเตะโสมแดงกลับดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
ในนัดที่สอง เกาหลีเหนือสามารถยันเสมอชิลีตัวแทนจากทวีปอเมริกาใต้ได้อย่างเหนือความคาดหมาย 1-1
แต่ที่ฮือฮาที่สุด และทำให้เกาหลีเหนือกลายเป็นทีมม้ามืดอย่างเต็มตัวในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกปี 1966 คงหนีไม่พ้นเกมการแข่งขันในนัดสุดท้ายของรอบแรก ซึ่งเกาหลีเหนือสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการพลิกล็อกเอาชนะอิตาลี ที่มีดีกรีเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยในขณะนั้นได้ 1-0 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ปี 1966 ที่สนาม อายร์ซัม พาร์ค ในเมืองมิดเดิลสโบร
เกาหลีเหนือได้ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ หรือรอบ8ทีมสุดท้ายแบบช็อคโลก ก่อนจะไปแพ้ให้กับทีมชาติโปรตุเกส หนึ่งในยอดทีมในยุคนั้นแบบสุดมัน 5-3ในการแข่งขันที่เมืองลิเวอร์พูล เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 1966
แม้เส้นทางของทีมเกาหลีเหนือจะสิ้นสุดลง แต่ผลงานที่พวกเขาฝากเอาไว้ในศึกฟุตบอลโลกปี 1966 ได้กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันและทำให้ทีมชาติเกาหลีเหนือชุดนั้น ติดอันดับ เป็นหนึ่งในทีม Underdog ที่สร้างความประหลาดใจที่สุดตลอดกาลของการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจนถึงทุกวันนี้ ขณะที่นักเตะเกาหลีเหนือชุดฟุตบอลโลก 1966หลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างรวมตัวกันจัดกิจกรรมรำลึกถึงการแข่งขันในครั้งนั้นอยู่เป็นประจำซึ่งรวมถึงการเดินทางกลับไปเยี่ยมชมสนามอายร์ซัม พาร์คในเมือง มิดเดิลสโบร
ยุน ยอง-บ็อก เจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะกรรมการโอลิมปิกเกาหลีเหนือ ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ประสานงานให้กับทีมชาติเกาหลีเหนือชุดลุยศึกฟุตบอลโลกเมื่อปี 1966 ออกมาเปิดเผยว่า เขายังจดจำความรู้สึกตื้นตันใจจนต้องปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อครั้งที่ได้เห็นธงชาติเกาหลีเหนือในการแข่งขันครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี
จอมพลิกล็อคในตำนานอีกทีมหนึ่งคือ แคเมอรูน สิงโตแห่งกาฬทวีป และไม่มีเกมนัดไหนที่จะทำให้ผู้คนนึกถึงพวกเขา มากไปกว่าเกมนัดเปิดสนามฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี เป็นเจ้าภาพ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 1990 หรือเมื่อกว่า 30 ปีก่อน เกิดเรื่องฮือฮาในฟุตบอลโลกที่อิตาลี ตั้งแต่นัดเปิดสนาม เมื่อ แคเมอรูน พลิกล็อกโค่นแชมป์เก่า อาร์เจนตินา ไป 1-0 ที่สนาม จูเซ็ปเป้ เมียซซ่าในเมืองมิลาน
เกมช็อกโลกนัดนี้ที่ถูกขนานนามให้เป็น “ปาฏิหาริย์แห่งมิลาน” เป็นการแข่งขันในกลุ่ม บี ทีม “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนติน่า แชมป์เก่าและเต็ง 1 ของรายการ พบกับ แคเมอรูน ตัวแทนจากทวีปแอฟริกา ซึ่งในตอนนั้นเพิ่งผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกได้เป็นหนที่ 2 ต่อจากฟุตบอลโลกปี 1982 ที่สเปน
สำหรับอาร์เจนติน่าชุดนั้นยังเต็มไปด้วยนักเตะดาวดังระดับโลก นำทัพมาโดย “เสือเตี้ย” ดีเอโก้ มาราโดนา นักเตะหมายเลข 1 ของโลกในเวลานั้น
ขณะที่ทีม แคเมอรูน แทบจะไม่มีใครรู้จักนักเตะของพวกเขามาก่อน เนื่องจากนักเตะทีมชาติแคเมอรูนส่วนใหญ่ในเวลานั้นถ้าไม่ค้าแข้งอยู่ในประเทศตัวเองก็มักสังกัดอยู่กับสโมสรฟุตบอลระดับล่างๆของฝรั่งเศสเท่านั้น
สื่อกีฬาหลายสำนักในยุคนั้นคาดการณ์ว่า เกมการแข่งขันในนัดนี้น่าจะเป็นการยำใหญ่อยู่ฝ่ายเดียวของแชมป์เก่าอย่างอาร์เจนตินา อย่างแน่นอน
แต่แคเมอรูนของกุนซือ วาเลรี่ เนปอมเนียชชี (Valery Nepomnyashchy) โค้ชชาวรัสเซีย วางแผนให้ลูกทีมเล่นแบบ “ถึงลูกถึงคน” จนนักเตะอาร์เจนตินาไปไม่เป็น โดยเกมนี้ นักเตะ “หมอผี” ทำฟาล์วทีมคู่แข่งไปกว่า 30 ครั้ง และ 1 ใน 3 ของการทำฟาล์วคือการหยุดยั้ง ดีเอโก้ มาราโดนา ไม่ให้สร้างสรรค์เกมได้ถนัด แต่ก็ต้องแลกกับการที่แคเมอรูน ต้องมีนักเตะถูกใบแดง ไล่ออกจากสนามถึง 2 คน
แม้จะเหลือผู้เล่นในสนามน้อยกว่า แต่สุดท้ายแคเมอรูน ก็มาได้ประตูชัย เพียงประตูเดียวของเกมจากการโหม่งของ ฟรังซัวส์ โอมัม-บียิค และชนะไปด้วยสกอร์ 1-0
หลังจากนั้น แคเมอรูนก็สร้างปรากฏการณ์ต่อเนื่องด้วยการชนะโรมาเนีย 2-1 จนคว้าแชมป์กลุ่ม บี พร้อมกับกรุยทางจนทะลุไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะพ่ายต่อ “สิงโตคำราม” อังกฤษ 2-3 ตกรอบไปแบบได้ใจแฟนฟุตบอลทั่วโลก
จากวันนั้นถึงวันนี้ ทีมแคเมอรูน สามารถผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้แล้วทั้งสิ้น 8 ครั้ง ในปี 1982, 1990, 1994, 1998, 2002, 2010 , 2014 และ 2022 แต่ก็ยังไม่เคยมีครั้งใด ที่พวกเขาจะทำผลงานได้เทียบเท่ากับศึกฟุตบอลโลกปี 1990 ที่อิตาลี
โรเจอร์ มิลลา วัย 70 ปี อดีตกองหน้าของทีมชาติแคเมอรูนในชุดฟุตบอลโลก 1990 ออกมาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า จริงๆแล้ว ทวีปแอฟริกามีนักเตะเก่งๆและฝีเท้าดีมากมาย และหลายคนก็ได้ติดทีมชาติของตัวเองไปเล่นฟุตบอลโลก ซึ่งนักเตะเหล่านี้จะถูกตั้งความหวังให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนที่ดีของชาวแอฟริกัน และเป็นตัวแทนของทวีปแอฟริกาด้วยนอกเหนือจากการตั้งใจลงเล่นให้กับทีมชาติของตัวเอง และตัวเขาเองก็ภาคภูมิใจที่เคยทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้มาแล้วในศึกฟุตบอลโลก
อีกหนึ่งในจอมพลิกล็อคระดับตำนานมาจากเอเชีย นั่นคือ เกาหลีใต้ ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ในศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพร่วมกัน และเป็นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จัดขึ้นในเอเชีย
ในครั้งนั้น ทีมเจ้าภาพร่วมอย่างเกาหลีใต้ สามารถโชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมายจนถูกยกให้เป็นทีม้ามืดประจำทัวร์นาเมนต์ โดยสามารถทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ หรือรอบ 4 ทีมสุดท้าย ก่อนจะคว้าอันดับที่ 4 มาครองได้ในท้ายที่สุด
ผลงานอันยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลกปี 2002 ทำให้ชาวเกาหลีใต้ทั้งประเทศ รวมถึงผู้ที่ไม่เคยสนใจกีฬาฟุตบอลมาก่อน ต่างพร้อมใจหันมาเชียร์ทีมชาติเกาหลีใต้ในเวลานั้น จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ “Red Wave ” หรือ คลื่นสีแดง ซึ่งหมายถึง การที่ชาวเกาหลีใต้ทุกเพศทุกวัย ต่างหันมาเชียร์ และสวมเสื้อสีแดงที่เป็นชุดแข่งหลักของทีมเกาหลีใต้ จนแทบจะกลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของคนทั้งชาติ ตลอดระยะเวลานานกว่า 1 เดือนที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลก
ทีมเกาหลีใต้ในฟุตบอลโลกครั้งนั้นสามารถเอาชนะหลายต่อหลายทีมที่ถูกมองว่าเหนือกว่าพวกเขาได้ตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ เริ่มตั้งแต่การเอาชนะโปแลนด์ 2-0 และชนะโปรตุเกส 1-0 ในรอบแรก ต่อด้วยการชนะอิตาลี 2-1 หลังการต่อเวลาพิเศษในรอบที่ 2
หลังจากปราบอิตาลีได้ในรอบที่ 2 ทีมเกาหลีใต้ของกุส ฮิดดิงค์ โค้ชชาวดัตช์ต้องเจองานหิน ไม่แพ้กัน คือการพบกับทีมสเปน ซึ่งโค้ชฮิดดิงค์เองก็ยอมรับในเวลานั้นว่า เกาหลีใต้ต้องทุ่มเทมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์หากต้องการจะเอาชนะทีมสเปนให้ได้เนื่องจากทีมสเปนเป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีและมีผู้เล่นประสบการณ์สูง
แม้จะเป็นการแข่งขันที่ยากลำบากแต่ในที่สุดเกาหลีใต้ก็สามารถเขี่ยสเปนตกรอบ ด้วยการดวลจุดโทษชนะสเปน 5-3 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนที่ทีมเกาหลีใต้จะไปแพ้เยอรมนีแบบฉิวเฉียด 0-1ในรอบรองชนะเลิศ และแพ้ตุรกี 2-3 ในการชิงอันดับ 3
แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมาแล้วถึง 20 ปี แต่จนถึงขณะนี้ยังมีผู้คนจำนวนมากที่เชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับทีมเกาหลีใต้ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนั้น เป็นปาฏิหาริย์
ไม่มีใครคาดคิดว่า เกาหลีใต้ภายใต้การคุมทีมของ กุส ฮิดดิงค์ จะมีผลงานยอดเยี่ยม จนคว้าอันดับที่ 4 ของศึกฟุตบอลโลกปี 2002 มาครองได้และกลายเป็นหนึ่งในทีมนอกสายตา ที่สร้างผลงานได้อย่างเหนือความคาดหมายที่สุดทีมหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
ส่วนในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่การ์ตาหนนี้ อีกชาติเอเชียที่ขึ้นสถานะจอมพลิกล็อคในตำนานคือญี่ปุ่น หลังจากเอาชนะทีมชาติเยอรมนีและสเปน ลิ่วเข้าสู่รอบที่ 2 ด้วยคะแนนเป็นที่หนึ่งของกลุ่ม
นอกจากญี่ปุ่น อีกจอมพลิกล็อคคือ ออสเตรเลีย ก่อนฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเปิดฉากขึ้น ทีมออสเตรเลียถูกมองว่าจะตกรอบแรกอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นบนสนามเมื่อคืนวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา “ออสเตรเลีย” หักปากกาเซียนอย่างสิ้นเชิงหลังเอาชนะเดนมาร์กซึ่งมีดีกรีเป็นแชมป์ยุโรป 1-0
ส่งผลให้ทีมจากแดนจิงโจ้ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ ถัดจากการผ่านเข้ารอบเดียวกันนี้ในฟุตบอลโลกเมื่อปี 2006
ทันทีที่ผู้ตัดสินเป่านกหวีดจบเกมการแข่งขัน แฟนฟุตบอลแดนจิงโจ้จำนวนนับหมื่นคนที่จัตุรัสใจกลางเมืองเมลเบิร์น ในรัฐวิคทอเรีย จุดพลุฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยง
โผเข้ากอดกัน แม้หลายคนจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผลงานของทีมออสเตรเลียเหนือความคาดหมาย ทีมที่ถูกมองว่า อ่อนที่สุดในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ ไม่เพียงเอาชนะเดนมาร์กได้เท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้นสามารถเอาชนะตูนิเซียได้เช่นดันด้วยสกอร์ 1-0
ในรอบต่อไป ออสเตรเลียจะได้เข้าไปพบกับทีมอาร์เจนตินา ในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ หลายฝ่ายจับตาดูว่าทีมนักเตะจากแดนจิงโจ้จะไปได้ไกลเพียงใดใน World Cup หนนี้
และนี่คือเรื่องราวของทีมนอกสายตาทั้ง 4 ทีมที่ทำผลงานได้ดีเกินความคาดหมายในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ความมุ่งมั่นและทุ่มเทในการฝึกซ้อม ตลอดจนการลงแข่งขันตามแผนการที่วางไว้อย่างรัดกุม ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทั้ง 4 ทีมกลายเป็นหนึ่งในทีมที่สร้างความประหลาดใจมากที่สุดในศึกฟุตบอลโลก
ไม่พลาดทุกเหตุการณ์ติดตามข่าวจาก PPTV ได้ที่ Subscribe
This website uses cookies.