Football Sponsored

ลุ้นบีจีทำสถิติแชมป์ไทยลีกทำแต้มห่างที่ 2 มากสุด

Football Sponsored
Football Sponsored

  • 27 ก.พ. 64 17:27

คำว่าแชมป์คงจะไม่ยากสำหรับ การจะได้ชูโทรฟี่ ลีกสูงสุดเป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร สำหรับ บีจีปทุม ยูไนเต็ด ที่ล่าสุดผ่านไป 22 นัด ชนะ 19 เสมอ 3 นัด ยังไม่แพ้ใคร

    ทิ้งอันดับ 2,3 อย่าง บุรีรัมย์ฯ ,การท่าเรือฯ ที่มี 41 แต้มเท่ากันไปแล้วถึง 19 แต้ม  

    นั่นหมายถึง ทัพ “เดอะแรบบิท” ขอชนะอีก 2 จาก 8 เกมที่เหลืออยู่ของตัวเอง พวกเขาก็จะคว้าแชมป์ไปครองได้ทันที  ขณะนี้มี 60 แต้มหากชนะอีก 2เกมต่อจากนี้ไป นัด 23 ไปเยือน สมุทรปราการ ซิตี้ นัด 24 เฝ้าบ้านเจอ สุโขทัย เอฟซี ได้เพิ่มอีก 6 เป็น 66 แต้ม ต่อให้ ทั้งบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ การท่าเรือ เอฟซี ที่มี 41 แต้มชนะรวด ได้อีก 24 แต้ม ก็จะมีแค่ 65 แต้ม ไล่ไม่ทันอยู่ดี  

    แต่สิ่งที่น่าติดตามก็คือ พวกเขาจะทำสถิติคว้าแชมป์ไร้พ่ายได้ต่อจาก เอสซีจี เมืองทองฯ , บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เคยทำไว้ได้หรือไม่  

    ไม่เพียงเท่านั้น ทัพ “เดอะแรบบิท” ยังจะได้ลุ้นทำสถิติใหม่ คว้าแชมป์โดยมีแต้มทิ้งห่างทีมอันดับ 2 ให้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทยลีกด้วย  

    โดยเจ้าของสถิติเดิมคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ทำไว้ 2 ครั้ง นั่นเอง ที่พวกเขาได้แชมป์โดยมีแต้มทิ้งห่างทีมรองแชมป์ถึง 16 แต้ม  

    ครั้งแรกที่ “ปราสาทสายฟ้า” ทำได้คือ ไทยลีกครั้งที่ 15 เมื่อปี พ.ศ. 2554 ปีนั้น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้แชมป์โดยมีแต้มทิ้งอันดับ 2 อย่าง ชลบุรี เอฟซี ถึง 16 แต้ม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ 85 แต้ม , ชลบุรี เอฟซีได้ 69 แต้ม  

    อีกครั้งที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำแต้มทิ้งอันดับ 2 ไว้มากสุดที่ 16 แต้มเท่ากันเกิดขึ้นในไทยลีกครั้งที่ 22 เมื่อปี พ.ศ. 2561 นั่นเอง ครั้งนั้น บุรีรัมย์ฯ ได้ 87 แต้ม ส่วน ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ได้ 71 แต้ม  

    ล่าสุด   บีจีปทุม ยูไนเต็ด มี 60 แต้ม และทิ้งอันดับ 2-3 อย่าง บุรีรัมย์ฯ ไปแล้ว 19 แต้ม หากยังฮอตต่อไปเรื่อยๆ สถิติใหม่ จะเกิดขึ้นแน่นอน คือ คว้าแชมป์โดยมีแต้มทิ้งอันดับ 2 เกินกว่า 16 แต้มนั่นเอง  

    แต้มของแชมป์,รองแชมป์ไทยลีก 11 ฤดูกาลที่ผ่านมา  

ไทยลีกครั้งที่     แชมป์ / แต้ม                    รองแชมป์/ แต้ม                แต้มห่าง  

13                   เอสซีจี เมืองทองฯ /65         ชลบุรี เอฟซี / 63                    2 

14                   เอสซีจี เมืองทองฯ / 67        บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / 63                4 

15                   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / 85            ชลบุรี เอฟซี / 69                   16 

(ครั้งแรกที่บุรีรัมย์ฯได้แชมป์โดยมีแต้มทิ้งอันดับ 2 มากสุดถึง 16 แต้ม )   

16                   เอสซีจี เมืองทองฯ / 84        ชลบุรี เอฟซี / 70                     14 

17                    บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / 78           เอสซีจี เมืองทองฯ / 71              7 

18                   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / 79            ชลบุรี เอฟซี / 76                      3 

19                   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / 84            เอสซีจี เมืองทองฯ / 71             13 

20                   เอสซีจี เมืองทองฯ / 80        ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด / 75           5 

21                   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / 86            เอสซีจี เมืองทองฯ / 72             14 

22                   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / 87            ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด / 71          16 

(ครั้งที่ 2 ที่บุรีรัมย์ฯได้แชมป์โดยมีแต้มทิ้งอันดับ 2 มากสุดถึง 16 แต้ม )   

23                   สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด / 58   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / 58                เท่ากัน 

(สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ดฯ ได้แชมป์เพราะเฮดทูเฮดดีกว่า ) 

ข้อมูลโดย “สิงห์นก Hk vp 9”

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร
Add friend ที่ @Siamsport
Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.