Football Sponsored

กุนซือลีลล์ลาทีมหลังเพิ่งซิวแชมป์ลีกเอิง2วัน – สยามกีฬา

Football Sponsored
Football Sponsored

คริสตอฟ กัลติเย่ร์ ประกาศบอกลาการเป็นกุนซือของ ลีลล์ แม้ว่าจะเพิ่งได้แชมป์ลีกมาหมาดๆ โดยบอกว่าการทำงานกับทีมมา 4 ปีมันถือว่านานพอแล้ว

    คริสตอฟ กัลติเย่ร์ ลาออกจากการเป็นเทรนเนอร์ของ ลีลล์ เมื่อวันอังคารที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทั้งที่เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ ลีก เอิง ในฤดูกาลล่าสุดมาครองได้เมื่อราว 2 วันก่อนหน้านั้น

    หลังจากฤดูกาลก่อนได้อันดับ 4 ไปครอง ลีลล์ ก็มีผลงานที่ดีขึ้นอย่างมากในซีซั่นนี้จนถึงขั้นได้แชมป์ลีกโดยที่มีคะแนนมากกว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 1 แต้ม โดยมันถือเป็นแชมป์ ลีก เอิง สมัยที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วย

    กัลติเย่ร์ ที่กุมบังเหียน ลีลล์ มาตั้งแต่ปี 2017 ให้สัมภาษณ์กับ เลกิ๊ป สื่อชั้นนำของเมืองน้ำหอมว่า “ผมตัดสินใจไปแล้ว ผมแจ้งเรื่องนี้ให้ โอลิวิเย่ร์ เลต็อง ท่านประธานของสโมสรได้รับทราบไปแล้วว่าผมจะออกจาก แอลโอเอสซี หรือเลิกทำงานกับ แอลโอเอสซี ผมไม่รู้ว่าคำไหนถึงจะเป็นคำพูดที่เหมาะสม ผมรู้สึกว่าตัวเองทำงานกับที่นี่ได้เสร็จสิ้นแล้ว 4 ปีมันเป็นช่วงเวลาที่นานพอสำหรับคนเป็นโค้ช แต่อีกด้านหนึ่งผมก็ได้ร่วมงานกับ โอลิวิเย่ร์ เลต็อง แบบทุกวันเพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น และ 5 เดือนมันก็ไม่ใช่เวลาที่มากเท่าไหร่สำหรับการร่วมงานกัน”

    “อย่างไรก็ตาม หลังจากอยู่กับทีมมา 4 ปีแล้วนั้น ในใจของผมมันก็รู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะบอกลาสโมสรที่งดงามและสโมสรที่วิเศษแห่งนี้ การตัดสินใจของผมมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอันดับของทีมเลย ต่อให้เราจะจบฤดูกาลด้วยการเป็นที่ 4 หรือที่ 7 ผมก็จะยังตัดสินใจแบบนี้อยู่ดี ผมไม่ได้บอกลาทีมเพราะเราประสบความสำเร็จ ผมย้ายออกจากทีมก็เพราะตัดสินใจว่าการอยู่กับทีมมา 4 ปีมันถือว่านานพอแล้ว”

    กุนซือวัย 54 ปีเสริมว่าจนถึงตอนนี้มี 3 ทีมที่อยากได้ตนไปร่วมทัพแบบจริงจัง ได้แก่ โอลิมปิก ลียง, นีซ และ นาโปลี “มันมีอยู่ 3 ทีมที่ให้ความสนใจในตัวผมแบบจริงจัง นั่นคือ ลียง, นีซ และ นาโปลี ผมคิดว่าผมจะทำการตัดสินใจถึงเรื่องอนาคตของตัวเองภายในสัปดาห์นี้ แต่ผมจะไม่ได้เลือกโดยที่มองถึงเรื่องเงินเป็นหลักหรอกนะ ถ้าผมทำอย่างนั้นน่ะผมก็คงไม่ได้ยังทำงานในทวีปยุโรปเหมือนอย่างทุกวันนี้หรอก”

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร
Add friend ที่ @Siamsport
Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.