1.เริ่มต้นแย่ทำหงส์ยาก
แฟนหงส์แดงหวังมากว่าจะใช้เกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ในการเรียกความมั่นใจของทีมกลับมาโดยเฉพาะผลงานในลีกและในแอนฟิลด์ที่ช่วงหลังย่ำแย่เหลือเกิน การเก็บชัยชนะเหนือ ไลป์ซิก ทำให้ลูกทีมของคล็อปป์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาบวกกับสถิติในดาร์บี้เแมตช์นี้ก็ข่มกว่ามาก ไม่แปลกใจที่ เดอะ ค็อป ค่อนข้างมั่นใจพอสมควร
อย่างไรก็ตามสิ่งที่บั่นทอนความมั่นใจของพวกเขามีตั้งแต่ต้นเกมเมื่อ ริชาร์ลิซอน หลุดเดี่ยวไปยิงประตูขึ้นนำในนาทีที่ 3 เป็นการเริ่มต้นเกมที่ไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งไปกว่านั้นจังหวะนี้มันดูง่ายไปหมด ไม่มีผู้เล่นหงส์แดงคนไหนเข้าบีบกดดันคนจ่ายบอลอย่าง ฮาเมส โรดิรเกซ ขณะที่ โอซาน คาบัค ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบกับการตามคัฟเวอร์ ริชาร์ลิซอน
เมื่อเสียประตูเร็วความกดดันยิ่งถาโถม ลิเวอร์พูล จึงต้องเร่งจังหวะของเกมรุกเพื่อเอาประตูตีเสมอ แต่สามประสานแดนหน้ายิ่งเร่งยิ่งพลาดโดยเฉพาะ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่มีโอกาสได้ง้างยิงมากกว่าทุกคน (4 ครั้ง) แต่จบสกอร์น่าผิดหวังทุกครั้ง ขณะที่กองกลางก็ขาดการสร้างสรรค์เกมรุกซึ่ง ติอาโก้ ยังดูช้าไปหลายจังหวะ ส่วนโจนส์ และ ไวจ์นัลดุม ยังค่อนข้างไร้ทีเด็ด สุดท้ายพวกเขาก็มาเสียประตูท้ายเกมเป็นการปิดโอกาสคัมแบ็ก
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งคงต้องยกเครดิตให้กับเกมรับ เอฟเวอร์ตัน แต่สิ่งที่น่าคิดคือนี่เป็นภาพเดิมๆที่แฟนหงส์แดงเห็นมาทุกอาทิตย์ ลิเวอร์พูล ครองบอลเหนือกว่าและโอกาสยิงมากกว่า แต่เจาะตาข่ายแนวรับคู่แข่งไม่ได้แถมจบลงด้วยความพ่ายแพ้อีกต่างหาก คล็อปป์ จะมีวิธีอย่างไรในการเจอกับทีมตั้งรับลึก คงต้องรอติดตามกันต่อ
2.เกมรับส่งทอฟฟี่ทำลายอาถรรพ์
นอกจากเกมรุกของ เอฟเวอร์ตัน จะใช้โอกาสไม่เปลืองแล้ว เกมนี้คงต้องชมแนวรับที่มีระเบียบวินัยซึ่งเป็นปัจจัยหลักช่วยให้ทีมของ อันเชล็อตติ ควักสามแต้มออกมาจากแอนฟิลด์ กุนซือชาวอิตาลีวางหมากมาแบบใช้ผู้เล่นตัวรับ 5 คนซึ่งเซนเตอร์แบ็ก 3 คนอย่าง โฮลเกต, คีน และ ก็อดฟรีย์ ช่วยซ้อนกันอย่างดีเยี่ยมโดยเฉพาะ คีน ที่สกัดจังหวะสำคัญหลายต่อหลายครั้ง และยังเคลียร์บอลมากถึง 13 ครั้ง
ขณะที่วิงแบ็ก ลูก้า ดีญ และ เชมุส โคลแมน วิ่งไม่มีหมด พวกเขามีความคล่องตัวคอยเป็นทัพหน้าปะทะกับ ซาลาห์ และ มาเน่ รวมถึงทั้งสองยังช่วยเติมเกมรุกซึ่งมีจังหวะหนึ่งเกือบสำเร็จนั่นคือตอนที่ ดีญ ครอสบอลสุดสวยให้กับ โคลแมน เติมขึ้นมาโหม่งประตูแต่ติดเซฟของ อลีสซง
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ จอร์แดน พิคฟอร์ด ซึ่งฤดูกาลนี้เขาโดนข้อครหาอยู่พอสมควรกับการเป็นมือหนึ่งทีมชาติอังกฤษเนื่องจากมีจังหวะก่อความผิดพลาดหลายหน ทว่าเกมนี้เขาโชว์ให้เห็นว่าทำไม เซาธ์เกต ถึงเลือกเขา พิคฟอร์ด ช่วยเซฟสำคัญไม่ว่าจะเป็นจังหวะยิงไกลของ เฮนเดอร์สัน หรือลูกยิงของ ซาลาห์ โดยสถิติหลังเกมเขาเซฟไป 6 ครั้งถ้วน
เกมรับที่เหนียวแน่นนี้ก็ช่วยทำให้พวกเขาคว้าชัยชนะถึงแอนฟิลด์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1999 หรือเกือบ 22 ปี เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นการชนะ ลิเวอร์พูล ครั้งแรกในรอบ 24 เกม (เสมอ 12 แพ้ 11) ยุติสถิติไม่ชนะใครยาวนานสุดของพวกเขา ในการเจอกับสโมสรใดสโมสรหนึ่ง
3.จากป้อมปราการสู่รีสอร์ทแอนด์สปา
ช่วงนี้มีแต่สถิติที่แฟนหงส์ไม่อยากจดจำทั้งนั้น หลังจากทำสถิติไร้เทียมทานด้วยการไร้พ่ายที่แอนฟิลด์ 68 นัดติดต่อกันในลีก ตอนนี้ ลิเวอร์พูล แพ้คาบ้านในลีก 4 นัดติดต่อกัน ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 98 ปีหรือนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 1923
เบิร์นลี่ย์, ไบรท์ตัน, แมนฯ ซิตี้ และ เอฟเวอร์ตัน เป็น 4 ทีมที่บุกมาคว้าชัยในแอนฟิลด์ปีนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล จารึกชื่อเป็นแชมป์เก่าทีมแรกที่ปราชัยในรัง 4 นัดติดต่อกันนับตั้งแต่ฤดูกาล 1928-29 ซึ่งทีมที่ทำสถิตินี้ไว้คือ เอฟเวอร์ตัน เองด้วย
และการเล่นในแอนฟิลด์ครั้งหน้า พวกเขาต้องทำศึกบิ๊กแมตช์รับการมาเยือนของ เชลซี ผู้ซึ่งเป็นทีมคู่แข่งลุ้นท็อปโฟร์โดยตรง และการเจอกับทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ในชั่วโมงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอนเพราะพวกเขายังไม่แพ้ใครนับตั้งแต่กุนซือคนใหม่เข้ามา ถ้าหาก หงส์แดง แพ้ 5 นัดติดขึ้นมานอกจากจะมีสถิติแย่เกิดขึ้นแล้วมีแววจะบอกลาท็อปโฟร์ได้เลย
4.มรสุมเข้าตัวเจ็บเพิ่ม
เจอร์เก้น คล็อปป์ คงต้องทำบุญด่วนๆเพราะพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกมาเยอะมากในช่วงนี้ ทีมของเขาพ่ายแพ้ต่อเพื่อนร่วมเมืองไม่พอ ยังมีนักเตะต้องเจ็บเพิ่มอีกด้วยและเป็นนักเตะคนสำคัญอีกต่างหาก
กัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ล้มลงและเอามือกุมไปที่แฮมสตริงหลังจากพยายามบังบอลจาก ดูกูเร่ ในตอนแรกเขาพยายามฝืนเล่นต่อแต่สุดท้ายก็ต้องถูกเปลี่ยตัวออกและให้ นาธาเนี่ยล ฟิลลิปส์ ลงแทน นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล เปลี่ยนคู่เซนเตอร์แบ็กในซีซั่นนี้มากถึง 18 คู่แล้ว
ผู้เล่นซีเนียร์ทั้ง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมส และ โฌแอล มาติป รวมถึงกองหลังจำเป็นอย่าง ฟิบินโญ่ และ เฮนเดอร์สัน ต่างบาดเจ็บกันทั้งหมด ตอนนี้พวกเขาเหลือเซนเตอร์แบ็กให้ใช้งานได้แก่ รีซ วิลเลี่ยมส์, นาธาเนี่ยล ฟิลลิปส์ กับนักเตะใหม่อีกสองคนอย่าง โอซาน คาบัค และ เบน เดวิส ซึ่งถ้าพิจารณาจากผลงานแต่ละคนตอนนี้ยังไม่มีใครเป็นที่พึ่งได้เลย
5.วีเออาร์แกงหงส์อีก?
เรื่องเสียผลประโยชน์วีเออาร์กับหงส์แดงเป็นของคู่กันไปแล้ว ไม่ว่า ลิเวอร์พูล จะตีเสมอได้หรือไม่ แต่เกมนี้มันจบลงตั้งแต่ กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน ส่งบอลซุกก้นตาข่ายจากการยิงจุดโทษ
แต่เมื่อพิจารณาถึงการฟาวล์จังหวะนี้แล้ว น่าคิดว่าเหมือนกันว่าสมควรเป็นจุดโทษหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนจริงๆ เหตุการณ์นี้เริ่มจากที่ คัลเวิร์ต-ลูวิน ยิงติดเซฟของ อลีสซง และพยายามจะวิ่งเข้าไปซ้ำแต่ เทรนท์ นั่งขวางทางอยู่พอดีเลยไปชนกับ คัลเวิร์ต-ลูวิน ล้มลงไป ผู้ตัดสิน คริส คาวานาฟ มองว่าเป็นการขวางทางวิ่งจึงเป่าจุดโทษ
ตอนแรกผู้ตัดสินในห้องวีเออาร์เองยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นการฟาวล์หรือไม่ ดังนั้น คริส คาวานาฟ ต้องไปดูจอที่ข้างสนามซึ่งเขาใช้เวลาดูเพียงไม่กี่วินาทีก็ตัดสินได้เลยว่าเป็นจุดโทษ บางคนอาจมองว่า เทรนท์ ไม่ได้ตั้งใจฟาวล์เพราะตัวเองเสียหลักล้มลงตั้งแต่แรกแล้วโดยที่ คัลเวิร์ต-ลูวิน วิ่งมาชนเอง มันจึงเกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะมันถูกหรือผิด ที่แน่ๆ ลิเวอร์พูล โชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
6.ทิ้งโอกาสบี้ท็อปโฟร์
เชลซี ของ โธมัส ทูเคิ่ล ถูก เซาธ์แฮมป์ตัน หยุดความร้อนแรงในช่วงหัวค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้เกมเมอร์ซี่ซได์ ดาร์บี้แมตช์นี้เป็นโอกาสทองที่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะทำแต้มจี้ท็อปโฟร์ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในตอนนี้ ทว่าพวกเขาก็ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไปแถมยังทำให้มีคู่แข่งลุ้นพื้นที่ยุโรปเพิ่มขึ้นมานั่นคือ เอฟเวอร์ตัน
ชัยชนะของ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ช่วยให้พวกเขาขยับขึ้นมาอยู่ที่ 7 โดยมีแต้มเท่ากับ หงส์แดง และยังแข่งน้อยกว่าหนึ่งนัดด้วย ขณะที่ เวสต์แฮม อีกหนึ่งทีมลุ้นโควต้ายุโรปก็เตรียมลงแข่งขันกับ สเปอร์ส ในวันอาทิตย์นี้ ถ้าหากทัพ “ขุนค้อน” คว้าชัยได้ พวกเขาจะขยับขึ้นที่ 4 และจะทำให้ ลิเวอร์พูล ห่างท็อปโฟร์อยู่ถึง 5 แต้มเลยทีเดียว หงส์แดง คงต้องรีบเค้นฟอร์มอย่างหนักหากหวังจะจบ 4 อันดับแรกให้ได้
“Zvo”
This website uses cookies.