Football Sponsored

สังคมพร้อมใจไม่เอา

Football Sponsored
Football Sponsored

เขียนวันที่

วันเสาร์ ที่ 29 ตุลาคม 2565 เวลา 12:55 น.

เขียนโดย

ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน

“…ท้ายที่สุดนี้ .. เราได้เห็นการตื่นตัวสังคมที่ลุกขึ้นมาไม่เอา “คนเมาขับ ชนคนตาย” พร้อมเรียกร้องการยกระดับการลงโทษเมาขับชนคนตาย ของต้นสังกัดให้ทัดเทียบสากล ถือเป็น “บรรทัดฐาน” ของสังคมแฟนฟุตบอล แต่ปัญหาเมาขับเกิดกับทุกวงการและรอการยกระดับของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายและการลงโทษ ที่ทัดเทียบสากลเช่นกัน…”


จากปรากฎการณ์ ผู้รักษาประตูทีมฟุตบอลชลบุรีเอฟซี (ฉลามชล) เมาขับชนคนที่ออกมาเดินออกกำลังกายตอนเช้ามืดเสียชีวิต โดยผลตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดคนขับสูงถึง 184 mg% ซึ่งสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนดเกือบ 4 เท่า หลังเกิดเหตุทางสโมสรต้นสังกัดได้แสดงความรับผิดชอบโดยประกาศให้หยุดลงสนามจนกว่าคดีความจะสิ้นสุด

แต่ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ได้ปลุกกระแสสังคมโดยเฉพาะแฟนฟุตบอล มิใช่เพียงเรื่องคดีความหรือความไม่เหมาะสมที่นักกีฬาออกมาดื่มแอลกอฮอล์ถึงขั้นเมาขับ แต่ได้เรียกร้องถามหา “ความรับผิดชอบ” จากต้นสังกัดในการลงโทษที่มากกว่าหยุดลงสนามและเป็นความรับผิดชอบที่ทัดเทียบวงการฟุตบอลระดับสากล เช่น นักฟุตบอล ในต่างประเทศ ที่แฟนบอลบ้านเรารู้จักเมื่อมีข่าวเมาขับก็จะทราบบทลงโทษ อาทิ เวย์น รูนีย์ นักเตะชาวอังกฤษก็เคยถูกจับฐานเมาขับ แม้ไม่ได้ขับไปชนใครแต่ถึงกระนั้นต้นสังกัดก็สั่งตัดเงินค่าเหนื่อย 2 สัปดาห์ทันที

หรือ “เรนาน” แบคซ้าย อนาคตไกลชาวบราซิล กำลังจะเซ็นสัญญากับต้นสังกัดพัลเมยรัส แต่เกิดไปเมาขับชนผู้ขี่จักรยานยนต์เสียชีวิต ทำให้ถูกยกเลิกสัญญา เช่นเดียวกับนักบอลอาชีพในลีกอเมริกันฟุตบอล เฮนรี รักก์ส ปีกดาวรุ่งทีมลาส เวกัส เรดเดอร์ส เมาขับชนรถอีกคันไฟลุกไหม้เสียชีวิต ถูกจับคุกซึ่งโทษสูงสุดของเมาขับชนคนตายที่ลาสเวกัสก็ 20 ปีและต้นสังกัดยกเลิกสัญญา ซึ่งเหล่านี้ถูกหยิบยกมากดดันและเรียกร้องการตัดสินใจ จนสุดท้ายต้นสังกัดสโมสรฟุตบอลชลบุรีเอฟซี ต้องตัดสินใจยกเลิกสัญญาในที่สุด

ในครั้งนี้ เนื่องจากผู้ที่เมาขับไปชนคนตาย เกิดกับบุคคลและที่สำคัญ “ต้นสังกัด” ของบุคคลก็เป็นที่รู้จักของคนในสังคม กระแสความรู้สึกหรืออารมณ์สังคม (social sentiment) จึงพุ่งเป้าไปที่ “ท่าที” ของต้นสังกัด ว่าจะปกป้องช่วยเหลือหรือจะตัดสินใจอย่างไร

ที่น่าสนใจคือ สังคมได้เรียนรู้และนำแบบอย่างของต่างประเทศมาประกอบการสะท้อนความเห็นต่อ “ต้นสังกัด” ของนักฟุตบอลว่าควรจะมีจะตัดสินใจอย่างไร ? ซึ่งต้องขอบคุณต้นสังกัด สโมสรชลบุรีเอฟซี ที่เลือกการยกระดับบทลงโทษเทียบเท่าวงการฟุตบอลสากล ถือเป็นการ “สร้างบรรทัดฐาน” ครั้งสำคัญในวงการกีฬาและที่สำคัญในการจัดการปัญหาเมาขับ ที่ฝังรากลึกกับสังคมมายาวนาน

ปรากฎการณ์ “เมาขับ” เกิดจากหลายปัจจัยที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เชิงทัศนะและวัฒนธรรมของสังคม ดังจะเห็นได้จาก ผลสำรวจทัศะสังคมที่ผ่านมาจะพบผู้ตอบส่วนหนึ่งมีทัศนะว่า “ดื่มแอลกอฮอล์แต่คิดว่ายังขับได้ถ้ามีสติ” (ข้อมูลสำรวจโดยมูลนิธิไทยโรดส์ในช่วง 10 ปีก่อนพบสูงถึง 1/5 หรือร้อยละ 20 ระบุว่าแม้ดื่มก็ขับได้ถ้ามีสติ และมีถึง 1/3 ที่ระบุว่าเคยดื่มแล้วขับในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา)

นอกจากนี้ จะพบเห็นการดื่มกับกิจกรรมในสังคมทั้งงานบุญประเพณี งานรื่นเริง ที่มักควบคู่กัน ยิ่งระยะหลังๆ มีความพยายามธุรกิจแอลกอฮอล์โหมโฆษณา เจาะกลุ่มนักดื่มหน้าใหม่ กลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงานตอนต้น โดยเน้นจุดขายที่เชื่อมโยงการดื่มกับความเป็นเพื่อนฝูง มิตรภาพ การเฉลิมฉลอง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้การสื่อสาร การห้ามปรามตักเตือนกันในหมู่เพื่อนกระทำได้ยาก เห็นได้จากมีน้อยคนที่กล้าปฏิเสธเพื่อนว่าจะไม่นั่งรถไปด้วยเพราะเห็นว่าดื่มแอลกอฮอล์มา และแทบจะเป็นปกติที่จะเห็นการมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปรากฎอยู่ในกิจกรรมต่างๆ หรืองานไหนไม่มีกลายเป็นเจ้าภาพขี้เหนียว เป็นต้น แต่หลังการดื่มสังสรรถ้ายังปล่อยให้คนเมามาขับรถ ก็มักจะเกิดผลกระทบตามมา อาทิเช่น

ฉลองจบฝึกงาน นศ.เทคนิค กระบะพลิกคว่ำเสียชีวิต 13 ศพ (กย.2562) https://mgronline.com/crime/detail/9620000093698

กลับจากงานเลี้ยงปีใหม่บริษัท ชนแบริเออร์ดับ (ธค.2562) https://today.line.me/th/v2/article/6woZ16?utm_source=lineshare

ในภาพรวม จากข้อมูลเฝ้าระวังการบาดเจ็บ (Injury Surveillance) กองป้องกันบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค (ดังกราฟแสดง) สะท้อนให้เห็นสัญญาณอันตรายของปัญหาเมาขับ ที่พบว่าสัดส่วนร้อยละ (%) ของผู้เสียชีวิตจากดื่มขับมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2563-2564) และยิ่งน่ากังวลเพราะข้อมูลการเจาะเลือดตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ที่บาดเจ็บรุนแรง พบว่าครึ่งหนึ่ง (50%) มีระดับแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนด

จากข่าวในรายวันและข้อมูลที่เกริ่นมา บ่งชี้ว่าสังคมกำลังเผชิญกับผลกระทบจากปัญหาเมาขับ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งจากคนเมาขับทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ประกอบกับทัศนะและค่านิยมต่าง ๆ ที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สอดแทรกเข้ามาในแทบจะทุกกิจกรรมของสังคม ซึ่งสภาพความเป็นจริง คงไม่สามารถหยุดการดื่มได้ แต่ประเด็นสำคัญคือทำอย่างไรทั้งภาครัฐและสังคมจะช่วยกัน “หยุดการดื่มแล้วขับหรือขี่”

จากกรณีนักฟุตบอลสโมสรชลบุรีเอฟซี ก็เริ่มเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แต่หันกลับมามองภาครัฐ ยังไม่มีสัญญาณการจัดการปัญหาเมาขับที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน จึงมีข้อพิจารณาเพิ่มเติมดังนี้

1) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

1.1 เร่งกำหนดค่าเป้าหมายการตั้งด่านเมาขับ ในทุกพื้นที่ให้ชัดเจน พร้อมทั้งกำหนดมาตรฐานการดำเนินคดีเมาขับ โดยเฉพาะการตรวจวัดแอลกอฮอล์ภายในระยะเวลากำหนด ห้ามละเว้น (ถ้าละเว้นต้องระบุสาเหตุความจำเป็น พร้อมมีคณะกรรมการตรวจสอบ)

1.2 กำหนดให้คณะอนุกรรมการบังคับใช้กฎหมายฯ ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัด มีการกำหนดวาระเรื่องปัญหาเมาขับ เพื่อกำกับติดตามผลการดำเนินงานทุกสถานีตำรวจภูธร โดยเทียบผลการบังคับใช้กับปัญหาผลกระทบ (ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเมาขับ)

1.3 กรณีมีการเสียชีวิตการเมาขับ ต้องมีการสอบสวน-วิเคราะห์สาเหตุเชิงลึกที่เชื่อมโยงไปสู่ต้นสังกัดหรือต้นทาง พร้อมนำข้อมูลมาเสนอในที่ประชุมเพื่อวางมาตรการจัดการปัญหาต่อไป

2) ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)

2.1 กำหนด ศปถ.จังหวัด/ศปถ.อำเภอ/ศปถ.อปท. มีวาระติดตามเรื่องเมาขับอย่างต่อเนื่อง

2.2 ในระดับท้องถิ่นชุมชน พิจารณากำหนดให้มีมาตรการหรือข้อบัญญัติชุมชนเพื่อป้องกันปัญหาเมาขับ เช่น ถ้าดื่มขับ ผู้ใหญ่บ้านไม่ช่วยเรื่องรับประกันตัว หรือไม่สามารถกู้ยืมเงินหมู่บ้าน หรือกติกางานกีฬาปลอดเหล่า ฯลฯ

3) ระดับหน่วยงาน-องค์กร การนิคม ฯลฯ

3.1 กำหนดให้มีมาตรการระดับหน่วยงานทุกแห่งที่จะจริงจังกับปัญหาเมาขับ เช่น งานปีใหม่ปลอดเหล้า-ถ้าจะมีต้องมีรถรับส่ง

3.2 มีบทลงโทษเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมให้บุคคลกรเซ็นรับรู้

4) รัฐบาล

4.1 กำหนดนโยบายและเป้าหมายที่หน่วยงานศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานหลักต่าง ๆ ต้องบรรลุในการแก้ปัญหาเมาขับให้ชัดเจน

4.2 กำกับติดตามผลการดำเนินงานต่อเนื่องรายเดือนหรือรายไตรมาส ไม่เฉพาะการรายงานปีละครั้ง

4.3 กรณีมีนโยบายที่อาจจะกระทบต่อปัญหาเมาขับให้เพิ่มมากขึ้นได้ เช่น นโยบายปิดผับตี 4 พื้นที่ท้องเที่ยว ต้องมีหลักประกันเรื่องความปลอดภัยให้กับประชาชนว่าจะสามารถจัดการกับปัญหาเมาขับในพื้นที่เหล่านี้ได้จริง

ท้ายที่สุดนี้ .. เราได้เห็นการตื่นตัวสังคมที่ลุกขึ้นมาไม่เอา “คนเมาขับ ชนคนตาย” พร้อมเรียกร้องการยกระดับการลงโทษเมาขับชนคนตาย ของต้นสังกัดให้ทัดเทียบสากล ถือเป็น “บรรทัดฐาน” ของสังคมแฟนฟุตบอล แต่ปัญหาเมาขับเกิดกับทุกวงการและรอการยกระดับของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายและการลงโทษ ที่ทัดเทียบสากลเช่นกัน 

ข้อมูลประกอบ

  • https://www.dailynews.co.th/news/1620189/
  • https://www.siamsport.co.th/football-international/premierleague/5027/
  • https://www.thairath.co.th/sport/thaifootball/thaipremierleague/2536425 

หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://www.tqm.co.th

Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.