Football Sponsored

คู่ควรลุ้นบัลลงดอร์ ? เจาะผลงาน จอร์จินโญ่ หนึ่งในฟันเฟืองพา อิตาลี แชมป์ยุโรป – สยามกีฬา

Football Sponsored
Football Sponsored

ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นช่วงขาขึ้นของ จอร์จินโญ่ อย่างแท้จริง หลังจากทำผลงานได้โดดเด่นกับ เชลซี สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จนทำให้ได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นล่าสุดไปครอง และตอนนี้ยังมาได้แชมป์ ยูโร 2020 ร่วมกับทีมชาติอิตาลีอีก

    ที่จริงบางคนก็มองว่ามิดฟิลด์เชื้อสายบราซิเลียนรายนี้ควรจะมีลุ้นรางวัล บัลลง ดอร์ ถ้าหากนำบ้านเกิดได้แชมป์ ยูโร 2020 อยู่แล้ว จากการที่ฟอร์มของเขาคงเส้นคงวาอย่างมาก และแน่นอนว่าความสำเร็จครั้งล่าสุดก็น่าจะทำให้มีคนเชียร์ให้เขาได้รางวัลลูกฟุตบอลทองคำมากขึ้นไปอีก

    ทั้งนี้ วันนี้เราจะมาลองเจาะลึกผลงานของ จอร์จินโญ่ ตลอดทั้งการลงเล่น 7 นัดในทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2020 กันสักหน่อยว่ายอดเยี่ยมแค่ไหน และคู่ควรจะไปลุ้นรางวัลอันทรงเกียรติแข่งกับ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์รึเปล่า

    – การผ่านบอล
    จอร์จินโญ่ รับบทเป็นห้องเครื่องที่กำหนดการขึ้นเกมรุกของทีมในบางช่วงด้วย ซึ่งคนที่รับหน้าที่แบบนี้จำเป็นจะต้องผ่านบอลให้ดีเพื่อที่จะได้ไม่ทำให้คู่แข่งมีโอกาสฉกบอลเข้าไปลุ้นทำประตู และดาวเตะจาก เชลซี ก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเมื่อผ่านบอลเข้าเป้าถึง 93.4 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน และมันก็ทำให้เขาเป็นนักเตะ อิตาลี ชุดนี้ที่ผ่านบอลเข้าเป้ามากที่สุดหากนับเฉพาะคนที่ลงเล่น 5 นัดขึ้นไป

    นอกจากนี้ จอร์จินโญ่ ยังผ่านบอลระยะไกลเข้าเป้าเฉลี่ยแล้ว 2 ครั้งต่อนัดด้วย ขณะเดียวกันเขาก็มีค่าเฉลี่ยการผ่านบอลที่กลายเป็นจังหวะสำคัญ 1 หนต่อเกม แถมยังสามารถผ่านบอลเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายได้ถึง 56 ครั้ง ซึ่งเขาเป็นคนที่ทำอย่างนั้นได้มากที่สุดของทีมชุดนี้เช่นกัน ทิ้งห่าง มาร์โก แวร์รัตติ กับ โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ ที่ทำไปคนละ 33 ครั้งแบบเยอะสุดๆ

    – การครองบอลและการเลี้ยงบอล
    ตลอดทั้งรายการนี้ จอร์จินโญ่ จับบอลลั่นไปเองเพียงแค่ 0.6 ครั้งต่อเกมเท่านั้น ซึ่งในบรรดากองกลางที่ลงเล่นอย่างน้อย 5 เกมด้วยกันมันไม่มีใครอีกแล้วที่มีค่าเฉลี่ยด้านนี้น้อยไปกว่าเขา ขณะเดียวกันเขายังถูกคู่แข่งฉกบอลไปจากเท้าเพียงแค่ 0.3 หนต่อเกมด้วย และก็เป็นอีกหนึ่งหมวดหมู่ที่ในกลุ่มกองกลางของ อิตาลี ด้วยกันมันไม่มีใครทำได้ดีกว่าเขา หากนับแค่บรรดาตัวหลักที่ลงเล่นอย่างต่ำ 5 เกม

    นอกจากนี้ จอร์จินโญ่ ยังเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งในรายการนี้ได้เฉลี่ย 1 ครั้งต่อเกมด้วย ทำให้ในกลุ่มนักเตะ อิตาลี ด้วยกัน เขาถือเป็นคนที่ทำได้ดีที่สุดเป็นอันดับ 5 ร่วมกับ เอแมร์ซอน และ แวร์รัตติ แต่เขาได้ลงเล่นมากกว่า 2 คนนั้น หลังจาก เอแมร์ซอน ลงเล่นไป 4 เกม ส่วน แวร์รัตติ ได้ลงสนาม 5 นัด

    การที่ จอร์จินโญ่ ทั้งครองบอลได้เหนียวแน่นและเลี้ยงบอลได้ดีมันส่งผลให้คู่แข่งต้องเสียฟาวล์ให้กับเขาบ่อยตามไปด้วย โดยสุดท้ายแล้ว จอร์จินโญ่ สามารถเรียกฟาวล์ได้มากถึง 2.7 นัดต่อเกม ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในบรรดาขุนพล อิตาลี ชุดแชมป์ ยูโร 2020

    – เกมรับ
     นอกจากจะเป็นตัวกำหนดจังหวะเกมรุกแล้วนั้น จอร์จินโญ่ ก็ยังมีเกมรับที่แข็งแกร่ง เพราะเขาสามารถสกัดแย่งบอลจากเท้าของคู่แข่งได้เฉลี่ยแล้ว 1.9 ครั้งต่อเกม มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลูกทีม โรแบร์โต้ มันชินี่ โดย 2 คนที่ทำได้ดีมากกว่าเขาคือ แวร์รัตติ (3.6 ครั้งต่อเกม) กับ ดิ ลอเรนโซ่ (3.2 ครั้งต่อนัด)

    ขณะเดียวกัน จอร์จินโญ่ ยังถือเป็นนักเตะ อิตาลี ที่ตัดบอลแบบไม่ต้องพุ่งเสียบได้มากที่สุดประจำทัวร์นาเมนต์นี้ด้วย เพราะทำได้ถึง 3.6 ครั้งต่อเกม ขณะที่อันดับ 2 อย่าง ฟรานเชสโก้ อาแชร์บี้ ทำได้ 2 หนต่อนัด

   
    – เด็กเกร็ดบอล –

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร
Add friend ที่ @Siamsport
Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.