Football Sponsored

สำรวจ 5 แข้งลูกครึ่งไทย ความหวังใหม่ทัพ”ช้างศึก” – บทความฟุตบอลไทย – SMMSPORT

Football Sponsored
Football Sponsored

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทีมชาติไทย มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ว่าเรื่องของการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น

หรือจะเป็นเรื่องการดึงโค้ชที่ผ่านเวทีฟุตบอลโลกอย่าง วินฟรีด เชเฟอร์, มิโลวาน ราเยวัช หรือแม้แต่ อากิระ นิชิโนะ เข้ามาคุมทีม ซึ่งทั้งหมดช่วยยกระดับและมาตรฐานของทัพ “ช้างศึก” อย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ยังมีอีก 1 สิ่งที่เราเห็นมากขึ้นในวงการลูกหนังไทยก็คือ บรรดานักเตะลูกครึ่งที่เริ่มตบเท้าเข้ามาโชว์ผลงานในฟุตบอลลีกของไทย อาทิ ชาริล ชัปปุยส์, เควิน ดีรมรัมย์, ฟิลิป โรลเลอร์, มานูเอล ทอม เบียห์, ทริสตอง โด, กษิดิศ ซีกฮาร์ท, จักรกฤษ ลาภตระกูล, ออสการ์ คาห์ล ฯลฯ ซึ่งมีหลายรายที่ทำผลงานได้ดี จนมีโอกาสก้าวขึ้นไปรับใช้ทัพ “ช้างศึก” ในทัวร์นาเม้นต์ต่างๆ

อย่างไรก็ตามนักเตะลูกครึ่งไทยยังไม่หมดอยู่เพียงแค่ในประเทศ เพราะยังมีอีกหลายรายที่ยังโลดแล่นอยู่ในลีกต่างแดน และได้รับการคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ของทีมชาติไทยในอนาคต โดยเราได้คัดเลือก 5 แข้งลูกครึ่งที่น่าสนใจ มาให้แฟนฟุตบอลได้ทำความรู้จักกันอีกครั้ง

1.จู๊ด เบลล์ สัญชาติ : ไทย-อังกฤษ 
ตำแหน่ง : กองหน้า สโมสร : เชลซี

ดาวยิงวัย 17 ปี เพิ่งได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับเชลซี เมื่อ 11 ม.ค.2021 หลังอยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2015 และได้รับโอกาสลงเล่นให้กับทีมในรุ่นอายุไม่เกิน 18 และ 23 ปี พร้อมกับทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง โดยลงสนามในเกมพรีเมียร์ลีก ยู 18 ไปทั้งหมด 15 นัด ทำได้ 14 ประตู และยังทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบ 59 ปี ที่ยิงได้ 4 ประตู ในเกมเดียว ในการแข่งขันเอฟเอ ยูธคัพ ที่พบกับ ทีมบาร์นสลีย์ เมื่อ พ.ย.ปีก่อน นอกจากนี้เขายังติดทีมชาติอังกฤษ ชุดอายุไม่เกิน 15, 16, 17 ปี มาแล้ว แน่นอนด้วยผลงานการยิงประตูของ จู๊ด เบลล์ ทำให้แแฟนบอลช้างศึกคงอยากให้เขาเลือกเล่นให้กับทีมชาติไทยอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามทีมชาติอังกฤษก็กำลังเฝ้าจับตามองกองหน้าดาวรุ่งรายนี้อยู่ชนิดตาเป็นมันเช่นเดียวกัน

2.อันโตนิโอ แสนใจรักษ์ สัญชาติ : ไทย-สวีเดน
ตำแหน่ง : กองหลัง สโมสร : ชลบุรี เอฟซี

แนวรับลูกครึ่งไทย-สวีเดน เพิ่งเซ็นสัญญาย้ายมาร่วมทัพ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ทีมดังในศึกโตโยต้า ไทยลีก สดๆ ร้อนๆ โดย อันโตนิโอ มีคุณพ่อเป็นชาวสวีเดน และคุณแม่เป็นคนไทย เริ่มเล่นฟุตบอลจากการเป็นเด็กฝึกของสโมสรเยอร์กาเดนส์ ทีมยักษ์ใหญ่ในลีกสูงสุดของสวีเดน รุ่นยู 19 ปี ก่อนถูกผลักดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2020 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเคยผ่านการติดทีมชาติสวีเดน รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี มาแล้วจำนวน 2 นัด ซึ่งการย้ายมาค้าแข้งในเมืองไทย ทำให้มีโอกาสสูงทีเดียว ที่แนวรับไทย-สวีเดน จะเลือกเล่นให้กับทีมชาติไทย แต่อย่างไรก็ตามคงต้องดูด้วยว่าฟอร์มของเขาในปีแรกภายใต้สีเสื้อ “ฉลามชล” จะทำได้ดีพอที่จะเอาชนะใจของ อากิระ นิชิโนะ กุนซือทีมชาติคนปัจจุบันได้หรือไม่

3.มาร์เซล ซีกฮาร์ท สัญชาติ : ไทย-เยอรมัน
ตำแหน่ง : กองหน้า สโมสร : อุนเตอร์ฮัคคิ่ง

มาร์เซล เป็นน้องชายแท้ๆ ของ อเล็กซานเดอร์ กษิดิศ ซีกฮาร์ท นักเตะของโปลิศ เทโร เอฟซี ในศึกไทยลีก 1 กองหน้าวัย 19 ปี เล่นได้ทั้งหัวหอกตัวเป้า หน้าต่ำ และตัวรุกด้านขวา มีดีกรีเป็นอดีตเยาวชนของ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ทีมมหาอำนาจลูกหนังเมืองเบียร์ ในรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ก่อนที่ปัจจุบันจะไปเล่นให้กับ อุนเตอร์ฮัคคิ้ง รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี โดยก่อนหน้านี้มีข่าวว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ วางแผนเรียกเขามาติดทีมชาติ ชุดยู-19 แต่สุดท้ายเรื่องดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม มาร์เซล เคยแจ้งความประสงค์มาแล้วว่าเขาอยากเล่นให้ทีมชาติไทย ซึ่งหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราอาจจะได้เห็นแข้งลูกครึ่งไทย-เยอรมัน รายนี้ยืนคุมแผงเกมรับให้ทัพช้างศึกในอนาคตข้างหน้า

4.นิโคลัส มิเคลสัน สัญชาติ : ไทย-นอร์เวย์ 
ตำแหน่ง : แบ็กขวา สโมสร : สตรอมส์ก็อดเซ็ต

แบ๊กขวาลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ วัย 21 ปี ติดทีมชาตินอร์เวย์ ในระดับเยาวชนมาทุกชุด ไล่ตั้งแต่ยู 16, 17, 18, 19, 21 ปัจจุบันค้าแข้งกับ สตรอมก็อดเซ็ท ทีมดังในลีกสูงสุดของนอร์เวย์ โดยใส่เสื้อหมายเลข 14 ลงเล่นเป็นตัวหลักให้กับต้นสังกัดในปีที่ผ่านมาไปทั้งสิ้น 22 นัด โดยเป็นตัวจริงถึง 21 นัด และทำไป 1 แอสซิสต์ โดยแม้ นิโคลัส จะติดทีมชาติสวีเดนมาทุกชุดในระดับเยาวชน แต่กับชุดยู 21 ปี เขาได้ลงเล่นแค่ 3 เกมเท่านั้น ซึ่งนั่นบ่งบอกได้ว่าคู่แข่งของเขามีเยอะพอสมควรในนามทีมชาติ นอกจากนี้เขาเคยมีความต้องการที่จะมาคัดตัวกับทีมชาติไทย ยู 19 ปีมาแล้ว แต่ช่วงนั้นตรงกับโปรแกรมการแข่งขันของลีกนอร์เวย์พอดี จึงทำให้ต้นสังกัดไม่ยอมปล่อยตัว แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะอย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าดาวรุ่งรายนี้มีใจให้กับทัพช้างศึกอยู่เหมือนกัน

5.เอริก คาห์ล สัญชาติ : ไทย-สวีเดน
ตำแหน่ง : แบ็กซ้าย/ปีกซ้าย สโมสร : เอไอเค โซลน่า

ลูกครึ่งไทย-สวีเดน ถูกสื่อสวีเดนยกให้เก่งเทียบเท่ากับ แอชลีย์ โคล อดีตแบ็กซ้ายของเชลซี และทีมชาติอังกฤษ โดยดาวเตะวัย 19 ปี ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในตำแหน่งแบ็กซ้ายให้กับต้นสังกัด เอไอเค โซลน่า ยอดทีมในลีกสูงสุดสวีเดน ในฤดูกาลล่าสุด โดยลงเล่นไป 26 นัด ทำได้ 1 แอสซิสต์ นอกจากนี้ยังถูกเรียกติดทีมชาติสวีเดน ชุดยู-21 ที่ถล่มเอาชนะ อิตาลี 3-0 ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี รอบคัดเลือก โดยตอนนี้เขากำลังได้รับความสนใจจากหลายทีมในยุโรป ที่ต้องการได้ตัวไปร่วมทัพ หลังจากที่เปิดเผยผ่านสื่อท้องถิ่นว่าจะอยู่กับทีมดังในลีกสวีเดน ถึงแค่ช่วงซัมเมอร์ปี 2021 นี้เท่านั้น โดยแม้สื่อสวีเดนจะฟันธงว่า เอริก คาห์ล จะขึ้นมากำลังสำคัญของทีมชาติสวีเดน ชุดใหญ่ในอนาคตแน่นอน แต่หากเรื่องดังกล่าวไม่เกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นโอกาสของทีมชาติไทยที่จะดึงเข้ามาสืบทอดตำแหน่งแบ็กซ้ายของ ธีราทร บุญมาทัน ในอนาคตข้างหน้า

Football Sponsored
ฟุตบอล

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย โดยเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และฟุตบอลทีมชาติไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า แต่เป็นทีมที่ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในระดับไหนเลย แต่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในอดีตประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ. 2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียตั้งกฎข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองค์กร รัฐวิสาหกิจ ปรับตัวไม่ได้ จึงต้องมีการยุบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีก 2552 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อย ๆ พัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 ปี แฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2 มากขึ้นนั่นเอง

This website uses cookies.