วิธีสร้างอสูรกาย!!

โทษฐานที่สโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศแต่งตั้ง เอริค เทน ฮาก ให้เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อย

    นั่นหมายความว่า “พวกเขา” พวกเจ้าของทีมและผู้บริหารทีมเฮงซวยน่าจะยอมรับแล้วล่ะว่า แมนฯ ยูไนเต็ด และนาทีนี้หมดสภาพของทีมที่ยิ่งใหญ่แบบไม่เหลือซากพลางต้องการกลับชาติมาเกิดใหม่ ด้วยกุนซือที่จัดอยู่ในประเภท “ผู้สร้าง” มากกว่า “ผู้ซื้อ”

    เช่นเดียวกับต้องการกุนซือที่จะเข้ามาวางรากฐานและระบบการเล่น เพื่อความสำเร็จในระยะยาวมากกว่าการเอานักเตะระดับ “มหาดารา” มารวมกัน เพื่อความสำเร็จแบบฉาบฉวยเหมือนพวกกุนซือรับจ้างทั่วไป

    “วิถี” ของ “ปีศาจแดง” เป็นแบบนี้มานานแล้วนะครับ-ขอโทษ

    เพียงแต่พวกเขาดันหลงทิศทาง นับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ อำลาทีม เหตุเพราะต้องการรักษาและทวงคืนความสำเร็จแบบแดกด่วนมากเกินไป 

    หลังล้มเหลวกับผู้จัดการทีมประเภท “สำเร็จรูป” อย่าง เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล, โชเซ่ มูรินโญ่ และโอเล่ กุนนาร์ โซลชา – แมนฯ ยูไนเต็ด จึงต้องย้อนกลับไปหาวิถีเดิมของตัวเองอีกครั้ง

    เพราะจากจำนวนแชมป์ลีกสูงสุด 20 สมัยของพวกเขา ขอบอกว่าแชมป์ถึง 18 สมัยมาจากผู้จัดการทีมเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นคือ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ และเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ยึดถือแนวทางเดียวกันทั้งคู่

    แน่นอนว่าการฟื้นฟูสมรรถภาพทีมให้กลับชาติมาเกิดใหม่มันต้องใช้เวลา ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะสิ้นเปลืองเวลาไปนานขนาดไหน เช่นเดียวกับที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสร้างใหม่ได้สำเร็จหรือเปล่า ???

    ว่าแล้วอยากให้ดูคู่แค้นตลอดชาติของตัวเองอย่าง ลิเวอร์พูล นี่แหละแล้วยึดเป็นตัวอย่าง

    หลังจากเฉียดเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูล จากการทำงานของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กลับดิ่งลงไปนั่งเบียดกับความตกต่ำอีกครั้ง

    จากเกือบได้แชมป์อยู่รอมร่อ ฤดูกาล 2014-15 ลิเวอร์พูล ร่วงหล่นลงไปอยู่ในอันดับ 6 ของตารางซะอย่างนั้น

    ฤดูกาล 2015-16

    “บี-ร็อดส์” ถูกปลดออกจากตำแหน่ง หลังคุมทีมในพรีเมียร์ลีกไปแค่ 8 นัด 

    จังหวะและเวลาประจวบเหมาะพอดีที่ ณ จุดนั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ กำลังนั่งเกาหำด้วยความเร็วปานกลางอยู่กับบ้านอยู่พอดี

    8 ตุลาคม 2015 กุนซือชาวเยอรมันผู้นี้ได้รับการสถาปนาให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล

    เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดเป็นกุนซือประเภท “ผู้สร้าง” หลักฐานสำคัญคือการสร้างทีมเสือเหลือง-ดอร์ทมุนด์ ขึ้นมาโค่นอำนาจของทีมรวมดาราฮอลลิวู๊ดอย่าง บาเยิร์น มิวนิค 

    ลักษณะนิสัยการคุมทีม คือทะเยอทะยาน แต่ไม่ต้องการอยู่กับสโมสรขนาดใหญ่ที่แรงกดดันมหาศาลระดับ “พลาดไม่ได้” อย่าง บาเยิร์น มิวนิค, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, แมนฯ ซิตี้, เชลซี หรือแม้แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด

    ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่อุดมด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอยู่แล้ว 

    แฟนบอลก็เหนียวแน่น น่ารัก (และน่ากลัวมาก) และที่สำคัญคือห่างเหินความสำเร็จระดับแชมป์ลีกสูงสุดมานานเกินรอ

    นี่คือความท้าทายที่กวักมือเรียกให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ พุ่งเข้าชนและวิ่งเข้าใส่ตำแหน่งกุนซือหงส์แดงแบบไม่คิดมาก

    ว่าแล้วผมอยากให้ทุกท่านดูรายชื่อผู้เล่น 11 ตัวจริงของ ลิเวอร์พูล ในเกมแรกที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ คุมทีม (เจอ สเปอร์ส เสมอ 0-0) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2015 ซึ่งประกอบด้วย ซิมง มินโญเล่ต์, นาธาเนียล ไคลน์, มามาดู ซาโก้, มาร์ติน สเคอร์เทล, อัลแบร์โต้ โมเรโน่, เจมส์ มิลเนอร์, อดัม ลัลลาน่า, ลูคัส เลว่า, เอมเร่ ชาน, เฟลิเป้ คูตินโญ่ และดีว็อค โอริกี้

    อืมมมมมม…นะ

    ผู้เล่นจากฤดูกาลนั้นที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันคือ เจมส์ มิลเลอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ดีว็อค โอริกี้

    ฤดูกาลแรก ลิเวอร์พูล จากการทำงานในระหว่างซีซั่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จบด้วยอันดับที่ 8 ในตารางพรีเมียร์ลีก แต่สไตล์การเล่นชัดเจนว่าเป็นจังหวะโลหะหนักจนผ่านเข้าชิงฯ บอลถ้วยถึง 2 รายการ

    พวกเขาปราชัย แมนฯ ซิตี้ ในนัดชิงฯ ลีก คัพ จากการดวลจุดโทษ ก่อนพลาดท่าพ่ายแพ้ เซบิย่า ในนัดชิงฯ ยูโรปา ลีก ที่ “เฮฟวี่ เมทั่ล ฟุตบอล” ของพวกเขาย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง 

    เมื่อเครื่องโอเวอร์ฮิตตอนปลายฤดูกาลจากการใช้พละกำลังบดบี้คู่แข่งอย่างไม่ยั้งหยุดมากเกินไป

    ล่วงเข้าฤดูกาลที่ 2 หรือฤดูกาลแรกที่ “มิสเตอร์เจเค” คุมทีมตั้งแต่ออกสตาร์ทซีซั่น

    สิ่งที่คอลัมนิสต์ลูกหนังผู้มีอาการทางจิตเล็กน้อยอย่างผมเห็นก็เหมือนกับสิ่งที่แฟนบอลส่วนใหญ่เห็นนั่นแหละ

    สไตล์การเล่นและระบบการเล่นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป็นแบบไหน

    จากอันดับที่ 8 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015-16 เขย่งก้าวขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ในฤดูกาล 2016-17 

    ตัวผู้เล่นเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร เมื่อ โฌแอล มาติ๊ป กับ ซาดิโอ มาเน่ ถูกดึงเข้ามาก่อนเปิดฤดูกาล

    ความผิดพลาดคือบทเรียน ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ เราจะเห็นว่านับตั้งแต่หม้อน้ำแตกในนัดชิงฯ ยูโรปา ลีก 2016 เฮฟวี่ เมทั่ล ฟุตบอล ของ ลิเวอร์พูล มีความยืดหยุ่น ไม่ได้ตะบี้ตะบันบดบี้แบบไม่คิดชีวิตในทุกนัด

    หลังจากหล่อหลอมสไตล์การเล่นกับระบบการเล่นให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้ว 

    ลำดับต่อมาคือเพิ่มศักยภาพของผู้เล่นในทีมให้สูงขึ้น

    การมาของ โม ซาล่าห์ ในฤดูกาล 2017-18 ช่วยให้เกมรุกของหงส์แดงมีความสยดสยองมากยิ่งขึ้น

    มิเท่านั้นยังกลายเป็นการค้นพบส่วนผสมที่ลงตัวของ 3 ประสานในหน่วยล่าสังหาร แม้จะต้องสูญเสีย คูตินโญ่ ไปก็ตาม

    ทว่าจุดอ่อนของ ลิเวอร์พูล ในจังหวะโลหะหนักอยู่ที่เกมรับ 

    พวกเขาเสียประตูง่าย และบ่อยครั้งที่เสียแบบไม่น่าเสียจากความเฟอะฟะของกองหลังและผู้รักษาประตู

    เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จึงถูกกระชากตัวเข้ามาในตลาดหน้าหนาวของฤดูกาล 2017-18 หลังจากที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ย้ายมาก่อนในช่วงซัมเมอร์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในเกมรับมากขึ้น

    นายทวารที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดึงมาจาก บุนเดสลีกา อย่าง ลอลิส คาริอุส ตั้งแต่ปี 2016 กลายเป็นนายทวารหนัก แถมเป็นเหตุให้พ่ายแพ้ เรอัล มาดริด ในนัดชิงฯ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018 

    เมื่อทีมยังไม่สมบูรณ์แบบและมีปัญหา

    ฤดูกาลต่อมา เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงเบิกเงินจากท้องพระคลังของสโมสรอีกก้อน เพื่อเติมเต็มทีมของตัวเองด้วย อลิสซง เบ็คเกอร์, ฟาบินโญ่ และนาบี เกอิต้า

    กุญแจสำคัญคือ อลิสซง เบ็คเกอร์ นายทวารที่โดน ลิเวอร์พูล สอยไป 7 ดอกในรอบตัดเชือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 2017-18 นั่นแหละ

    เมื่อมีผู้เล่นที่สมบูรณ์แบบทุกตำแหน่ง

    ฤดูกาล 2018-19 เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงสร้าง “อสูรกาย” ขึ้นมาได้สำเร็จ

    อันนี้แค่ภาพรวมของการสร้างทีมใหม่เท่านั้นนะครับ 

    หลักการสำคัญคือผู้เล่นที่คว้าตัวมาหรือสร้างขึ้นมาต้องเข้ากับระบบการเล่นและตรงตามปรัชญาลูกหนังที่กุนซือเป็นผู้กำหนด 

    ไม่ใช่สักแต่ซื้อมาในราคาแพงๆ ด้วยเป็นดาวดัง แล้วเอามาขายเสื้อ

    ยกตัวอย่างง่ายๆ นักเตะที่สันหลังยาวอย่าง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หรือนักเตะที่เทคนิคสูง แต่ขี้เกียจวิ่งอย่าง ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ไม่มีทางเป็นลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แน่ๆ เพราะคงบีบสูงพลางเพรสซิ่งเข้าแย่งบอลตลอดทั้งเกมไม่ได้

    ในเมื่อผู้จัดการทีมเป็นคนกำหนดรูปแบบการเล่น ติดตั้งระบบ และวางกลยุทธ์ลูกหนัง

    ลิเวอร์พูล จึงให้อิสระกับผู้จัดการทีมเป็นคนเลือก ส่วนเรื่องการเจรจาเป็นเรื่องของผู้อำนวยการฟุตบอลที่ทำงานร่วมกันอย่างเข้าขา

    มิเท่านั้น

    เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังเป็นกุนซือที่ “เนตรอินทรี” มีสายตาแหลมคมระดับบาดหินขาด

    ยกตัวอย่าง โม ซาล่าห์ ที่ค้าแข้งให้ เชลซี ไม่เคยอยู่ในสายตาของ โชเซ่ มูรินโญ่ เลยด้วยซ้ำ

    หรือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ก่อนจะย้ายมาสวมเครื่องนุ่งห่มหงส์แดง เขาก็ไม่ใช่ปราการหลังที่โดดเด่นอะไรมากมาย และไม่อยู่ในทำเนียบกองหลังระดับโลกด้วยซ้ำ

    ไม่เพียงแต่มองขาด รูปแบบการเล่นแบบ “เฮฟวี่ เมทั่ล ฟุตบอล” ของ ลิเวอร์พูล ยังอาศัยความเป็นทีมเวิร์คสูงมาก เพราะในการเพรสซิ่งต้องมีความเป็นเนื้อเดียวกันทุกคน 

    ดังฉะนั้นการฝึกซ้อมของ ลิเวอร์พูล จึงเข้มข้น และหนักหน่วงยิ่งนัก 

    นอกจากนี้ผู้เป็นกุนซือยังมีหน้าที่ขัดเกลาฝีเท้าของลูกทีมให้เก่งขึ้น และพัฒนาขึ้น 

    ผู้จัดการทีม เรียกอีกอย่างว่า “หัวหน้าผู้ฝึกสอน” ที่ไม่ใช่แค่คุมทีม วางแผน แก้เกม หรือตัดสินใจ เพราะคำว่า “ผู้ฝึกสอน” ก็เหมือน “ผู้กำกับการแสดง” นั่นแหละ

    คุณต้องดึงศักยภาพออกมาจากตัวนักแสดงให้ได้ด้วย นักแสดงถึงจะได้รางวัลตุ๊กตาทอง

    เจอร์เก้น คล็อปป์ คือกุนซือประเภทนั้น พี่แกมีพรสวรรค์วในการปลุกเสกให้ลูกทีมให้มีความสามารถมากขึ้นเหมือนได้รับเวทย์มนตร์จากเทวดา

    รวมถึงการกระตุ้นลูกทีมให้ฮึกหาญอันเป็นความชำนาญอีกอย่างหนึ่งของกุนซือผู้นี้

    ขอบอกว่าสิ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำกับ ลิเวอร์พูล ก็คือสิ่งที่อดีตกุนซือของปีศาจแดงอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยทำกับ แมนฯ ยูไนเต็ด มาแล้วนั่นแหละ 

    เพียงแต่เขาใช้เวลาน้อยกว่า

    ขณะที่ป๋าใช้เวลาสร้างทีมจนล่วงเข้าสู่ปีที่ 7 ถึงประสบความสำเร็จ เจอร์เก้น คล็อปป์ ใช้เวลาฤดูกาลเพียงที่ 3 เริ่มสำแดงความสยดสยองออกมา 

    กระทั่งฤดูกาลที่ 4 ของการทำงาน 

    พลพรรคหงส์แดงลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบเต็มตัว โดยสะสมได้ถึง 97 แต้มพลางสถาปนาตัวเองเป็นเจ้ายุโรปอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนสวมวิญญาณสิบล้อเบรคแตกเมายาบ้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลที่ 5 ของการคุมทีม

    ผมบอกไม่ได้ว่า เอริค เทน ฮาก คือผู้กอบกู้ที่จะมาช่วยชุบชีวิตปีศาจแดงหรือเปล่านะครับ

    แต่หากดูจากประวัติการทำงาน และแนวทางในการทำทีมก็พอจะตั้งความหวังได้บ้างว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จากขุมกบาลของกุนซือชาวดัตช์ผู้นี้จะเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลอย่างสร้างสรรค์ ด้วยการเน้นเกมรุก เล่นเป็นระบบ และมีทีมเวิร์ค ด้วยผู้เล่นใหม่ที่ เอริค เทน ฮาก ได้สิทธิ์เต็มที่ในการคัดเลือกเข้าสู่ทีม

    ส่วนความสำเร็จแบบรูปธรรมยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึง 

    ขั้นแรกเอาให้เล่นกันเป็นเกมเสียก่อน ซึ่งคาดว่าคงต้องใช้เวลาในการสร้างใหม่พอสมควร

    สุดท้ายคือการสวดภาวนา

    ภาวนาว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะถูกหวยเหมือน ลิเวอร์พูล ที่ได้ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาเป็นผู้จัดการทีม

    บอ.บู๋