“เชลซี” ยุคเปลี่ยนผ่าน สยามรัฐ – สยามรัฐ

สงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” กำลังพ่นพิษใส่สโมสรฟุตบอล “เชลซี” ยอดทีมในศึกพรีเมียร์ลีก หลังจาก”โรมัน อับราโมวิช”ถูก”รัฐบาลอังกฤษ”ลงโทษคว่ำบาตร และอายัดทรัพย์สินที่อยู่ในสหราชอาณาจักรทั้งหมด เนื่องจากมีสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ประธานาธิบดีรัสเซีย

นอกจากนี้ บอร์ดบริหารพรีเมียร์ลีก ยังลงดาบซ้ำด้วยการประกาศตัดสิทธิ์ “อับราโมวิช” จากการเป็นผู้อำนวยการของสโมสรเชลซี เท่ากับว่าตอนนี้เขาจะไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของสโมสรได้อีกแล้ว ทำให้สโมสรเชลซีได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ เพราะพวกเขาถูกห้ามไม่ให้ดำเนินกิจการตามปกติ ทำได้เพียงแค่ลงซ้อมและลงแข่งเท่านั้น

จากการถูกคว่ำบาตรดังกล่าว ส่งผลให้สโมสรเชลซี ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายบัตรเข้าชมการแข่งขัน และสินค้าที่ระลึก รวมทั้งไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อ-ขาย หรือต่อสัญญากับนักเตะ แต่ยังสามารถจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าหน้าที่และนักเตะได้ และได้รับอนุญาตให้เพิ่มค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันนัดเหย้าจาก 500,000 ปอนด์ (ราว 22.5 ล้านบาท) ต่อนัดเป็น 900,000 ปอนด์ (ราว 40.5 ล้านบาท) ต่อนัดแล้ว แต่อนุญาตให้จ่ายค่าเดินทางนัดเยือนได้เพียง 20,000 ปอนด์ (ราว 900,000 บาท) ต่อนัดเท่านั้น

ต่อมา บรรดาสปอนเซอร์อย่าง “ทรี” หรือ “3” ซึ่งเป็นบริษัทด้านการสื่อสารสัญชาติไอร์แลนด์ ได้ประกาศขอระงับการสนับสนุนสโมสรชั่วคราว โดยถอดแบรนด์ออกจากเสื้อแข่งและแบรนด์รอบๆ สนามจนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม รวมทั้ง “ฮุนได” บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของเกาหลีใต้ ที่เป็นสปอนเซอร์ติดแขนเสื้อชุดแข่งของเชลซีมาตั้งแต่ปี 2018 ด้วยการจ่ายเงินให้ 10 ล้านปอนด์ต่อปี ออกมาแถลงระงับความสัมพันธ์กับ เชลซี เป็นการชั่วคราว

ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ “เสี่ยหมี” ตัดสินใจออกแถลงการณ์ขายทีมเพื่อให้สโมสรที่เขารักเดินหน้าได้ต่อไป หลังจากที่เข้ามาประคบประหงมตั้งแต่ปี 2003 จบประสบความสำเร็จมากมาย คาดว่าการขายสโมสรครั้งนี้จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 1.3 แสนล้านบาท)

โดยแถลงการณ์จากสโมสร ระบุว่า “ผมได้ทำการตัดสินใจทุกอย่างโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของสโมสรตลอดมา จากสถานการณ์ปัจจุบัน ผมได้ตัดสินใจที่จะขายสโมสร เพราะผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับทั้งสโมสร แฟนบอล พนักงานทุก ๆ คน และยังรวมไปถึงผู้สนับสนุน ตลอดจนหุ้นส่วนของสโมสร

การขายสโมสรจะยังไม่เกิดขึ้นแบบเร่งด่วน แต่จะเป็นไปตามกระบวนการ โดยจะไม่ขอเงินที่สโมสรได้กู้ยืมคืนมาแต่อย่างใด สำหรับผมแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องของธุรกิจ หรือเงินทอง แต่มันเกี่ยวกับแพสชั่นของผมที่มีต่อเกมการแข่งขันและสโมสรอย่างแท้จริง”

นอกจากนี้แล้ว “อับราโมวิช” ยังได้สั่งให้ทีมงานจัดตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อบริจาครายได้สุทธิทั้งหมดที่มาจากการขาย ต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสงครามในยูเครน และยังรวมถึงการจัดหาเงินทุนสำหรับความประสงค์เร่งด่วนเพื่อช่วยสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ตลอดจนการสนับสนุนและฟื้นฟูในระยะยาว

แน่นอนว่าสโมสรใหญ่อย่าง “เชลซี” เมื่อประกาศหาเจ้าของทีมรายใหม่ ต้องได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่ โดยรายแรกที่เสนอตัว คือ “ซาอุดิ มีเดีย กรุ๊ป” ที่นำโดย “โมฮาเหม็ด อัลเคเรจี” มหาเศรษฐีหนุ่ม ซึ่งเป็นแฟนตัวยงของ เชลซี ได้ยื่นข้อเสนอจำนวน 2.7 พันล้านปอนด์ เพื่อขอซื้อสโมสรสิงห์บลูส์ไปไว้ในครอบครองดังกล่าว

โดยรายงานข่าวระบุว่า “ซาอุดิ มีเดีย กรุ๊ป” มีรายกำไรสูงถึง 770 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 34,650 ล้านบาทต่อปี และตั้งเป้าจะเข้ามาพัฒนาสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ให้ทันสมัย รวมทั้งยังพร้อมจะทุ่มทุนเพื่อยกระดับศูนย์ฝึกฟุตบอล ค็อบแฮม เทรนนิง เซ็นเตอร์ และทีมหญิงของสโมสรให้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า “ซาอุดิ มีเดีย กรุ๊ป” ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลซาอุดิอาระเบียต่างจาก พับลิก อินเวสต์เมนต์ ฟันด์ ซึ่งเพิ่งเข้ามาซื้อกิจการของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไปเมื่อช่วงต้นฤดูกาลนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมั่นใจว่า การเข้าซื้อกิจการของ เชลซี ครั้งนี้จะไม่ผิดกฎของพรีเมียร์ลีกแน่นอน

การเปลี่ยนผ่านของ “เชลซี” ในครั้งนี้ แน่นนอนว่าบรรดาแฟนคลับของทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ต้องเสียดาย “อับราโมวิช” เจ้าของสโมสรที่เข้ามาบริหารด้วยใจรักกีฬาฟุตบอลอย่างแท้จริงคนนี้ ส่วนใหญ่เจ้าของทีมที่เข้ามาเทกโอเวอร์ ต่างสนใจถึงผลกำไรเป็นส่วนใหญ่ ต้องลุ้นกันต่ออไปว่าถ้า “ซาอุดิ มีเดีย กรุ๊ป” ได้เข้ามาบริหารจริง “เชลซี” จะกลับมาผงาดเป็นยอดทีมบนเกาะอังกฤษได้ต่อไปหรือไม่ในฤดูกาลหน้า