Ice Cream Goal : ไอศกรีมที่เปลี่ยน “เอดินสัน คาวานี่” ให้เป็นยอดดาวยิงของโลก – Sanook

สิ่งที่ยิ่งใหญ่หลายสิ่งบนโลกใบนี้มักเกิดจากความสงสัยใคร่รู้ และความพยายามที่เริ่มจากจุดเล็กๆของคนๆหนึ่ง

นี่คือเรื่องราวจุดกำเนิดการเป็นยอดดาวยิงจอมถล่มประตูที่ยิงได้ทุกท่า ทุกจังหวะ และลงเล่นด้วยความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยมของ เอดินสัน คาวานี่ 

ไอศกรีม 1 แท่ง เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้อย่างเหลือเชื่อ ติดตามได้ที่ Main Stand

เด็กชายประกายแสง

ความจริงแล้ว คนจน ไม่ใช่คนที่ไม่มีความคิดความอ่านหรือไร้ศักยภาพด้านต่างๆในการพัฒนาตัวเอง เพียงแต่ปัญหาของพวกเขาคือเรื่องของคำว่า โอกาส เท่านั้น โดยเฉพาะในประเทศที่ยังมีความเหลื่อมล้ำที่รวยกระจุกจนกระจาย บางครั้งเหล่าคนจนก็ไม่เคยได้รับโอกาสและการเหลียวแลจากรัฐ จนพวกเขาต้องวิ่งวนอยู่บนกงล้อแห่งความจนจากรุ่นสู่รุ่น

1ประเทศอุรุกวัย ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในแถบอเมริกาใต้ พวกเขาเป็นประเทศแรกๆที่ใช้นโยบายรัฐสวัสดิการ และใช้มาตั้งแต่ยุค 1904 ในยุคที่มีประธานาธิบดีที่มีชื่อว่า โฆเซ ออร์โดเญซ

ประธานาธิบดีท่านนี้เชื่อเรื่องความเท่าเทียมของประชาชนทุกคน เขาให้สิทธิ์การรักษาพยาบาลและการศึกษากับผู้คนทุกเพศ โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าใครจะอยู่ในเมืองหรือเป็นชาวเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่หลังเขา ทุกคนต้องได้สวัสดิการเหมือนกันหมด

โดยในยุคนั้น อุรุกวัย ได้ฉายาว่า “สวิตเซอร์แลนด์แห่งอเมริกาใต้” สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันถึงความรุ่งเรืองคือการได้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1930 ซึ่งมีเหตุผลมาจาก ณ เวลานั้น ประเทศในยุโรปเกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจและการเมือง เนื่องจากยังมีการทำสงครามกันอยู่ 

อย่างไรก็ตาม จากที่เป็น “สวิตเซอร์แลนด์แห่งอเมริกาใต้” ก็ได้เปลี่ยนไปเป็น “ห้องโถงการทรมานแห่งลาตินอเมริกา” จนได้ เพราะหลังจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะตกต่ำครั้งใหญ่หรือที่เรียกว่า “Great Depression” อุรุกวัย ก็ประสบปัญหาดังกล่าวด้วย เนื้อและขนสัตว์ที่เคยเป็นสินค้าส่งออกหลักที่ส่งไปยุโรปขายไม่ออก เนื่องจากกำลังซื้อที่ลดลง 

เมื่อขาดรายได้หลัก รัฐก็ไม่สามารถจ่ายสวัสดิการให้กับประชาชนแบบที่เคยทำได้ จุดเปลี่ยนตรงนี้ทำให้รัฐบาลอุรุกวัยเริ่มกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ และการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มจนเป็นทั้งหนี้และประสบปัญหาเงินเฟ้อ 

สิ่งที่ตามมาจากการกู้เงินคือ การคอรัปชั่นของนักการเมือง และเมื่อนักการเมืองแต่ละฝ่ายต่างโจมตีกันไปโจมตีกันมา เมื่อมีโอกาสก็โกงกันไม่เว้นทุกพรรค จนที่สุดแล้วก็เกิดการรัฐประหารโดยกองทัพ จึงเกิดเป็นรัฐบาลเผด็จการขึ้นมา.. ซึ่งแน่นอนว่าการทำตัวเป็นเหมือนฮีโร่นั้นก็เป็นแค่ฉากบังหน้า เพราะเมื่อรัฐบาลทหารมีอำนาจ พวกเขาก็ทำไม่ต่างกับที่รัฐบาลชุดก่อนๆทำ ซ้ำยังหนักกว่าด้วย เพราะพวกเขาถือครองตำแหน่งรัฐบาลโดยไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชนนานถึง 12 ปี ตั้งแต่ปี 1973-1985

และนั่นเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับที่ เอดินสัน คาวานี่ ลืมตาดูโลกพอดิบพอดี 

2เอดินสัน คาวานี่ เกิดที่เมืองซัลโต เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอุรุกวัยในปี 1987 หลังจากครอบครัวของเขาทนอยู่กับรัฐบาลเผด็จการมา 12 ปีเต็ม เขาจึงเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจน และเขาก็กลายเป็น “เด็กหนุ่มแห่งความหวัง” ของครอบครัวคาวานี่ 

พ่อและแม่ของเขาหวังให้ เอดินสัน เป็นประกายแสงของครอบครัว หวังให้เขาได้เติบโตในประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ คาวานี่ ถูกตั้งชื่อว่า เอดินสัน ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก โทมัส อัลวา เอดิสัน ชายชาวอเมริกันที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักเขาในฐานะผู้ประดิษฐ์หลอดไฟคนแรกของโลกนั่นเอง 

“เป็นความจริงที่ชื่อของผมถูกตั้งตามชื่อของบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก คนคนนั้นคือ โทมัส เอดิสัน” เอดินสัน คาวานี่ กล่าวเริ่มก่อนที่เขาจะกลายเป็นแสงสว่างของครอบครัวนี้

โอกาสมา ต้องทุ่มสุดตัว

อะไรจะง่ายที่สุดสำหรับคนชายขอบ เติบโตจากชนบทที่ไม่ได้รับการเหลียวแลมากว่า 1 ทศวรรษ เด็กๆที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับการศึกษามากพอที่จะกลายเป็นคนที่สามารถทำงานและได้ค่าตอบเเทนเป็นจำนวนมาก ดังนั้น มันจึงเหลือทางที่สนุกที่สุดและต้องใช้ความพยายามมากที่สุดไม่แพ้กัน นั่นคือการตั้งเป้าว่าจะเป็น “นักฟุตบอล

คาวานี่ เองก็เริ่มคิดแบบนั้นเหมือนกันตอนที่อายุสัก 13-15 ปี เพียงแต่ว่าตอนที่เขายังเด็กมากๆ ตอนที่เรียนระดับประถม เขายอมรับว่าตัวเองแค่สนุกกับฟุตบอลก็เท่านั้น ทั้งการลงเล่นเองหรือจะเป็นการติดตามเกมผ่านทางโทรทัศน์ 

3“ย้อนกลับไปตอนเป็นเด็ก ผมไม่ได้คิดใหญ่โตถึงขั้นจะเป็นนักเตะอาชีพอะไรหรอก ฟุตบอลเป็นแค่เรื่องสนุก คุณแค่คิดถึงปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แล้วไปเพลิดเพลินกับช่วงเวลานั้น” คาวานี่ ย้อนความหลัง

ไม่ว่าอย่างไร เด็กอเมริกาใต้แทบทุกคนต่างก็ชอบเล่นฟุตบอลทั้งนั้น รวมถึงตัวของ คาวานี่ ด้วย และเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เขารู้ว่าตัวเองพอจะไปได้ดีกับการเล่นฟุตบอล ก็เป็นช่วงเวลาที่เขาต้องการโฟกัสกับสิ่งที่ตัวเองถนัด หาบุคคลต้นแบบ และตั้งเป้าหมายในอนาคต ซึ่ง คาวานี่ บอกว่าฮีโร่ในวัยเด็กของเขาคือ กาเบรียล บาติสตูตา สุดยอดดาวยิงแห่งยุค 90s ชาวอาร์เจนตินา 

คาวานี่ ชอบดูลีลาการเล่นของ บาติสตูตา มาก เพราะเป็นกองหน้าสไตล์หมายเลข 9 ที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลกในยุคของเขา มีการจบสกอร์ที่เฉียบขาด ยิงได้หนักหน่วงทั้งเท้าซ้ายและขวา อีกทั้งยังเล่นในกรอบเขตโทษได้ดี ยิงประตูได้ทุกรูปแบบ และนั่นคือวิธีการเล่นที่เขาคิดว่าเหมาะกับตัวเองที่สุด แม้ตอนที่เขาเข้าสู่ศูนย์ฝึกเยาวชนของ ดานูบิโอ เขาจะเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ก็ตาม 

4“หลังจากเล่นฟุตบอลจริงๆจังๆ ตำแหน่งแรกของผมคือมิดฟิลด์ แต่ไม่รู้ทำไมผมก็ยังเป็นคนที่ชอบยิงประตูอยู่ดี ทุกๆครั้งที่เดินลงไปในสนามผมรู้สึกว่าผมอยากเล่นเป็นกองหน้าจริงๆ การยิงประตูได้เหมือนการเติมเชื้อไฟให้ใจของผม ผมตั้งความหวังเสมอว่าทุกครั้งที่ลงสนามผมต้องยิงให้ได้” คาวานี่ เล่าถึงอดีตในวัยเด็กของเขา 

“สิ่งที่ผมทำหลังจากนั้นคือการจดจำและก็อปปี้ทุกอย่างที่ กาเบรียล บาติสตูตา ทำเสมอ แม้กระทั่งทุกวันนี้ผมก็ยังทำเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” 

คาวานี่ พัฒนาตัวเองจากการเป็นมิดฟิลด์ที่แสดงผลงานการยิงประตูถล่มทลายในระดับเยาวชน เขาเป็นเด็กตัวใหญ่และแข็งแรง ชอบท้าชนกับกองหลัง และนั่นทำให้โอกาสของเขามาถึง คาวานี่ ไม่เคยปล่อยให้ตำแหน่งกองหน้าเป็นของคนอื่นอีกเลย 

5สิ่งที่คาวานี่ทำคือการขยันซ้อมยิงประตู รักษาร่างกายนอกสนาม พักผ่อนให้เพียงพอ กินของที่มีประโยชน์ นั่นคือแนวคิดที่นักเตะแถบอเมริกาใต้ส่วนใหญ่มักจะปล่อยปละละเลย แต่สำหรับ คาวานี่ เขารู้หน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี

“เมื่อเริ่มเป็นมืออาชีพ ความสนุกก็จะหายไป นักฟุตบอลก็เหมือนเป็นเครื่องจักร ทำสิ่งเดิมซ้ำๆกันแทบทุกวัน สิ่งที่จะพอทำให้ร่างกายและแพชชั่นในการเล่นเหมือนเดิมคือคุณต้องดูแลร่างกายให้ดี”

“วิธีที่ดีที่สุดของการเล่นฟุตบอลคือการทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง เอาความเครียดและความคิดด้านลบทิ้งไป สภาพจิตใจที่ดีมีผลมากพอๆกับการพักผ่อนร่างกาย”

ขณะที่เรื่องการยิงประตูที่เป็นสไตล์เฉพาะตัวของเขาคือ “ยิงทุกครั้งที่มีโอกาส” คือสิ่งที่ คาวานี่ ฝึกมาเสมอ แต่เขาเพิ่มพูนทักษะการเล่นในกรอบเขตโทษเพิ่มขึ้นอีกเมื่อเวลาผ่านไป นั่นคือการอ่านสถานการณ์ หากเพื่อนมีโอกาสที่ดีกว่าเขาก็จะพิจารณาดูว่าสิ่งไหนดีที่สุด

“การเห็นแก่ตัวของกองหน้าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเมื่อทำประตูได้นั่นหมายถึงความกดดันที่คุณมีก็จะลดลง แต่สิ่งที่ทุกคนควรรู้คือ ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าคำว่า ทีม แม้คุณจะหวังว่าทุกเกมจะต้องยิงประตูให้ได้ก็ตาม” คาวานี่ กล่าวกับแนวคิดในการเป็นกองหน้าของเขา 

สิ่งที่ คาวานี่ อธิบายถึงตัวเองคุณจะสามารถเห็นได้เมื่อเขาลงสนาม ตลอดอาชีพค้าแข้งตั้งแต่ย้ายเข้ามาเล่นในยุโรปเมื่ออายุ 20 ปี คาวานี่ เป็นนักเตะที่ยิงประตูได้สม่ำเสมอมาตลอด จนถึงตอนนี้ก็ 350 ประตูจาก 640 เกมเข้าไปแล้ว

6ยิ่งไปกว่านั้น กับทุกสโมสรที่คาวานี่ไปอยู่ เขามักจะเป็นนักเตะกองหน้าที่มีคุณภาพในการเล่นเป็นทีมได้ดีเสมอ เขาไม่ได้อยู่ในสถานะ “เดอะ แบก” แต่ส่วนใหญ่การยืนในสนามของเขาทำให้แนวรุกคนอื่นๆโดดเด่นไปด้วย ไม่ว่าจะเรื่องการขยันวิ่งไล่ การวิ่งเปิดช่องทำทาง หรือการจ่ายเมื่อมีโอกาส เหนือสิ่งอื่นใดคือภาษากายที่แสดงถึงความกระหายตลอดเวลา นั่นคือความประทับใจที่ทุกคนที่เคยร่วมงานกับเขาเล่าอยู่เสมอ

ที่ ปาแลร์โม่ เขาประสานงานกับ ฮาเวียร์ ปาสตอเร่ และ ฟาบริซิโอ มิคโคลี่, ที่ นาโปลี เขาโดดเด่นไปพร้อมๆกับ เอเซเกล ลาเวซซี่ และ มาเร็ก ฮัมซิก, ที่ เปแอสเช แม้จะต้องทำงานร่วมกับสตาร์ที่ดังกว่าอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, เนย์มาร์ หรือ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ แต่ คาวานี่ ก็ยังคงเป็นกองหน้าที่มีประตูและแอสซิสต์อยู่เสมอ 

ช่วงฤดูกาล 2020-21 คาวานี่ ย้ายมาเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และได้รับคำชมเรื่องความกระหายในการยิงประตูเป็นอย่างมาก เขามาที่นี่และทำงานร่วมกับดาวรุ่งอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เมสัน กรีนวูด โดยสิ่งที่ คาวานี่ แสดงออกมาให้เห็นความแตกต่างที่สุดคือการแสดงสัญชาตญาณการยิงประตู ที่ไม่มีนักเตะของ ยูไนเต็ด คนไหนทำได้เหมือนเขาเลยสักคน 

โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ กุนซือของทีมในเวลานั้นเล่าว่า การเห็น คาวานี่ ลงเล่นให้กับ ยูไนเต็ด ทำให้เขาอดคิดถึงคำที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยพูดไว้ไม่ได้ นั่นคือการเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดต้องมีเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า “ที่ว่าง” เพราะมันเป็นสิ่งที่ตัดสินผลแพ้ชนะของทีม 

7“เอดินสัน อยู่ไปทั่วสนามและทำประตูได้มากมาย เขาเล่นฟุตบอลมานาน เขาพยายามไปอยู่หน้าประตูคู่แข่งตลอดเวลา เขาดูเกมนี้มาก่อน เขาเคยทำประตูได้มาก่อน เขารู้ดีว่าต้องไปอยู่ตรงไหนที่จะเจอเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาในเขตโทษแบบที่เซอร์ อเล็กซ์ เคยบอกกับผม ‘เพื่อนที่ดีที่สุดในเขตโทษคือพื้นที่ว่าง’ และเขาจะเข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้นได้อย่างถูกที่ถูกเวลา” อดีตกุนซือปีศาจเเดง กล่าวถึง คาวานี่ ไว้เมื่อปี 2021 

การทำงานหนักช่วยให้เขามีวิธีการจบสกอร์ที่เฉียบขาด การรักษาสภาพร่างกายช่วยให้เขายังเล่นในะระดับสูงได้ดีแม้วัย 36 ปี การมีทัศนคติที่ดีทำให้เขาไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก แต่เรื่องที่ เฟอร์กี้ บอกว่า “การมีเพื่อนสนิทเป็นพื้นที่ว่าง” มันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ใน DNA ของ คาวานี่ มาตั้งแต่ยังเด็ก 

ในวันที่เขายังเตะฟุตบอลเพื่อความสนุก และมีการหาพื้นที่ในการยิงประตูเป็นเป้าหมาย คาวานี่ เรียกมันว่า “ไอศกรีม โกล” ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดการยิงแบบ “คาวานี่ สไตล์” โดยแท้จริง

ไอศกรีม โกล ของ คาวานี่ 

วันที่ คาวานี่ ประสบความสำเร็จและมาจนถึงปลายอาชีพ เขากลายเป็นคนที่มีข่าวคราวบนหน้าสื่อมากขึ้นภายใต้การเป็นนักเตะของสโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมที่มีแฟนบอลติดตามทั่วโลก และข่าวของยูไนเต็ดก็ขายได้เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย

คาวานี่ อยู่ในสปอตไลท์ออกข่าวไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลที่เเล้วที่เขาอยู่ในสถานะ “ลงเป็นยิง” ก็เป็นช่วงเวลาเดียวที่ใครๆก็อยากรู้เรื่องราววัยเด็กที่เป็นจุดเริ่มต้นของเขา 

8เรื่องดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นจากท่าดีใจที่เป็นเหมือนท่ายิงธนูของเขา เรื่องนี้ทำให้ คาวานี่ ย้อนความไปไกลถึงวัยเด็ก ครอบครัว และวิถีที่เขาเติบโตขึ้นมาในแบบที่ใครหลายคนไม่รู้ 

คาวานี่ เล่าว่าท่าดีใจในการยิงประตูได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรพบุรุษของเขา ที่เป็นชนเผ่า ชาร์รัวอาส หนึ่งในเผ่าพื้นเมืองในอุรุกวัย และเขาก็ไม่เคยลืมรากเหง้านั้น 

“ลูกศรที่ผมทำท่าจุดไฟยิง คือการฉลองประตูที่สื่อถึงสิ่งเหล่านี้ มันเป็นการผสมกันระหว่างชื่อของลูกสาวของผมและสื่อถึงชนเผ่าพื้นเมืองของอุรุกวัย ซึ่งมันมีความหมายพิเศษมากๆสำหรับผม” คาวานี่ เล่าถึงที่มาของท่าดีใจนั้นก่อนจะต่อด้วยเรื่องราววัยเด็กที่ทำให้เขาเป็นคนที่มีสัญชาตญาณในการยิงประตู

“สมัยผมยังเด็กๆ มีการแข่งขันที่เรียกว่าไอศกรีม โกล กฎของมันง่ายนิดเดียวนั่นคือ ใครที่ยิงประตูสุดท้ายของเกมการแข่งขันคนนั้นจะได้กินไอศกรีมฟรีๆ” คาวานี่ ย้อนความจำไปถึงช่วงที่เขาอยู่ที่ซัลโต เมืองชนบทที่ยากจน 

9“ตอนนั้นที่เราเเข่งขันกัน จะสกอร์ 8-1, 9-1 มันไม่สำคัญหรอก เพราะเมื่อถึงช่วงเวลาใกล้เลิก โค้ชจะเป็นคนตะโกนว่าใครยิงคนสุดท้ายคนนั้นมาเอาไอศกรีมไปเลย” 

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ตอนนั้น คาวานี่ อยู่ในฐานะที่ยากจน และการกินไอศกรีมถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาที่ไม่ได้มีโอกาสได้กินบ่อยๆ ดังนั้น ทางเดียวที่เขาจะได้มีความสุขกับการเล่นฟุตบอล มันต้องจบวันด้วยการยิงประตูเท่านั้น 

“แค่คิดก็มีความสุขเเล้ว ตอนนั้นผมเล่นฟุตบอลด้วยเท้าเปล่า ขณะที่เด็กๆที่มอนเตวิโอได้ใส่สตั๊ดหรูๆราคาแพง ดังนั้น นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ สมองผมคิดถึงไอศกรีมรสช็อกโกแลตไปแล้ว ในความทรงจำของผม ณ เวลานั้น ไอศกรีมคือสิ่งเดียวที่ทำให้ผมอยากยิงประตูได้” 

“มันคือแรงจูงใจที่ทำให้ผมมีพลังงาน มีความกล้า และมันเป็นความทรงจำอันสวยงามที่ติดตัวผมมาตลอดจนถึงทุกวันนี้” คาวานี่ ว่าไว้เช่นนั้น 

10ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องจบวันด้วยการเป็นคนยิงประตูสุดท้ายให้ได้ จะเป็นประตูที่ลากหลบผ่านผู้เล่นทั้งทีม หรือลูกยิงจ่อๆระยะแค่หลาเดียวก็ไม่สำคัญ และนั่นคือการตั้งเป้าหมายแบบ คาวานี่ ที่ทำให้เขามีแพชชั่นในการพยายามทำสกอร์จนกระทั่งทุกวันนี้ 

สิ่งที่เปลี่ยนคือเมื่อเวลาผ่านไป คาวานี่ ประสบความสำเร็จและลงเล่นในระดับที่สูงขึ้น เขาเรียนรู้ที่จะพัฒนาและปรับตัวไปตามยุคสมัย จากที่เคยยิงอย่างเดียวก็กลายเป็นคนที่มองผลลัพธ์ของทีมเป็นสำคัญ และเหนือสิ่งอื่นใดคือการขยันไล่บี้จนนาทีสุดท้ายด้วยความมุ่งมั่น นั่นคือวิธีการทำงานในแบบที่ คาวานี่ เป็นเสมอมา 

ทุกวันนี้ เป้าหมายได้เปลี่ยนไป จาก ไอศกรีม มาเป็นความสำเร็จและการตอบสนองความฝันของตัวเอง เขาพิสูจน์แล้วว่าตัวเองคือหนึ่งในกองหน้าที่ดีและเป็นนักเตะที่มีประโยชน์กับทีมเสมอ เเละเมื่ออยู่นอกสนามเขาก็จะประพฤติตัวแบบมืออาชีพ จนเป็นที่รักของเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอลในทุกๆที่ที่เขาไป 

11“เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมมีความรู้สึกว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เมื่อคุณโตขึ้นคุณจะรู้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต” คาวานี่ กล่าวทิ้งท้าย

เรื่องเล็กๆจากไอศกรีมฟรี กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าชื่นชม แม้จะเติบโตในพื้นที่อับแสงขนาดไหน แต่ถ้ามุ่งมั่น ตั้งใจ และใส่หัวใจลงไปในสิ่งที่ทำมากพอ เมื่อนั้นคุณก็สามารถเปล่งประกายได้ด้วยตัวของตัวเอง ดังเช่นที่ เอดินสัน คาวานี่ เป็นอยู่ในทุกวันนี้