คอลัมน์ เกรียนเขียนบอล By Stivie T : หมดยุค 2 ผู้ยิ่งใหญ่
เพียงแค่ 24 ชั่วโมงหลังจากที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มีอันต้องกระเด็นตกรอบยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปด้วยน้ำมือทีมรองบ่อนอย่าง เอฟซี ปอร์โต้ คู่รักคู่แค้นอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ก็ไม่สามารถสร้างปาฏิหารย์กลับมาผ่านเข้ารอบได้เช่นกัน
เอาจริงสถานการณ์ของเมสซี่ยากกว่า เพราะเกมแรกพ่ายคาบ้านให้ปารีส แซงต์ แชร์แม็ง ไปแล้วถึง 1-4 โอกาสกลับมายากเหลือเกินแม้จะเคยทำได้มาก่อน ยิ่งเมื่อเมสซี่ซัดจุดโทษไปติดเซฟเคย์เลอร์ นาวาส ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างมันเอวังลงไป
ส่วนของโรนัลโด้คงต้องโทษตัวเอง เพราะเขาเองที่ฟอร์มหลุดในเกมนัดสองกับปอร์โต้ จนทำให้ทีมต้องตกรอบ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2004/05 ที่ไม่มี 2 สุดยอดนักเตะของโลก ผ่านเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปรายการนี้
ขณะที่บาร์เซโลน่าก็ยุติสถิติการผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศต่อเนื่องเอาไว้แค่เพียง 13 ปีเท่านั้น แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นสถิติสูงสุดของรายการนี้อยู่ และคงหาผู้ใดทัดเทียมได้ยากในพ.ศ.นี้
ตอนนี้ผู้คนเริ่มมองกันแล้วว่า 2 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคนั้นกำลังเข้าสู่ช่วงขาลงแบบจริงจัง หลังจากที่ผ่านมาหลายปี ภาพเริ่มชัด แต่ยังไม่ชัดเท่าปีนี้
โรนัลโด้ในวัย 36 ปี นับตั้งแต่ย้ายออกมาจาก “ราชันชุดขาว” รีล มาดริด ก็ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายมา 2 ปีติดต่อกัน ส่วนปีแรกก็พ่ายให้กับอาแจ๊กซ์ ทำให้ความฝันของยูเว่ที่อยากจะคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้อีกสักครั้งยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที
ขณะที่เมสซี่ในวัย 33 ปี ห่างหายจากแชมป์รายการนี้ไปแล้ว 6 ปีเต็ม ดีที่สุดคือการเข้ารอบตัดเชือกเมื่อปี 2018/19 แต่ก็ไปเจอทีเด็ดแอนฟิลด์เล่นงานซะอึ้งกิมกี่ในนัดที่ 2
แน่นอนว่าเมื่อมีคนลง ก็ต้องมีคนก้าวขึ้นมา หลายคนเริ่มพูดถึงยุคใหม่ของฟุตบอล ที่มี 2 ผู้เล่นที่ฟอร์มสุดยอดในเวลานี้อยู่
คีเลียน เอ็มบัปเป้ นอกจากจะพาเปแอสเชล้มบาร์เซโลน่า ของเมสซี่ ได้แล้ว ใน 2 เกม เขายังกดไป 4 ประตู กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในยูซีแอลถึง 25 ประตูไปแล้ว
ส่วนอีกคนที่มาแรงไม่แพ้กันก็คือ เออร์ลิ่ง เบราต์ ฮาแลนด์ ที่ก็เพิ่งทุบสถิติเป็นดาวยิงอายุน้อยสุดที่ยิงในแชมเปี้ยนส์ลีก ถึง 20 ประตู (และอาจจะแซงเอ็มบัปเป้ในไม่ช้า)
บางทีโลกมันอาจจะหมุนไปหาทั้งสองคนนี้แล้วก็ได้
ปล.ครั้งสุดท้ายที่ไม่มีทั้งเมสซี่-โรนัลโด้ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ปีนั้นใช้สนามชิงชนะเลิศคืออตาเติร์ก สเตเดียม ที่ตุรกี ซึ่งคงไม่ต้องทวนความจำนะ ว่าปีนั้นใครเป็นแชมป์ (อิอิ)