ผมชอบภาพที่นักเตะ เชลซี รุมมองดู เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ฉีกยิ้มยิงฟันขาวแล้วชูถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
มันเป็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
“เออ นายแน่มากว่ะเพื่อน”
อันที่จริง คงไม่ใช่เพียงแค่นักเตะในโลกสีน้ำเงินด้วยกันหรอกนะครับ เพราะไม่ว่าใคร ก็น่าจะมอง ก็องเต้ ด้วยสายตาแบบนี้เช่นกัน
มันเป็นคุณค่าที่เขาคู่ควรแล้วจริงๆ
สถิติของ ก็องเต้ จากสงครามกับ แมนฯ ซิตี้ ณ สังเวียน ดราเกา ที่ ปอร์โต้ อ่านได้ว่า: แท็กเกิ้ลชนะ 100%, พาบอลผ่านคู่แข่งสำเร็จ 100%, ปล่อยให้คู่แข่งลากผ่าน 0 และเสียฟาวล์ 0
ครับ, ทั้งๆ ที่เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับ แต่ ก็องเต้ ไม่เสียฟาวล์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ในเกมที่เล่นกันอย่างรวดเร็ว ลื่นไหล และชิงไหวชิงพริบกันตลอดเวลา
ที่ร้ายไปกว่านั้น คือเขายังถูกบันทึกว่า เป็นนักเตะที่เอาชนะในการดวลลูกโหม่งกลางเวหามากกว่านักเตะ เชลซี คนใดในเกม ทั้งๆ ที่เตี้ยที่สุดในสนามด้วยส่วนสูงเพียง 5 ฟุต 5 นิ้วหรือราว 165 ซม.
ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเขาถึงได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำแม็ตช์ชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2021
แต่ที่น่าทึ่งคือ เขาคนเดียวกันนี้ เพิ่งได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำแม็ตช์ตัดเชือกทั้ง 2 นัดมาหมาดๆ
ไล่ดูลิสต์นักเตะในตำแหน่งกองกลางที่เคยได้เป็น “แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์” ในนัดชิงถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปในห้วงศตวรรษนี้ก่อนหน้าเขา จะพบว่า แต่คนไม่ธรรมดาเลย
ซีเนดีน ซีดาน, เดโก้, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ชาบี เอร์นานเดส และ อันเดรส อิเนียสต้า
ก็องเต้ ก้าวขึ้นไปเทียบชั้นนักเตะระดับโลกเหล่านี้อย่างไม่เคอะเขิน
หลายคนอาจหลงลืมไปแล้วนะครับว่า 5 ปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับ ก็องเต้ บ้าง
แชมป์โลก, แชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ, ยูโรปา ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
เขาแน่มากจริงๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ก็องเต้ “โคตรแน่” คือความสำเร็จดังกล่าวของเขาในแต่ละครั้ง เกิดขึ้นภายใต้กุนซือที่ไม่ซ้ำกันเลย
เขาไม่มีปัญหาในการปรับตัวใดๆ ขอเพียงแค่ปล่อยให้เขาได้เล่นฟุตบอล
เพราะฟุตบอลคือชีวิตของเขา และมันเป็นอย่างนั้นมาตลอด
นับตั้งแต่วันที่ตั้งปณิธานแน่แน่วว่า จะเลือกเส้นทางนี้ เขาก็ไม่เคยเฉไฉออกนอกเส้นทางเลย
ราว 10 ปีที่แล้ว เขาเล่นในลีกระดับดิวิชั่น 9 ของฝรั่งเศสกับสโมสร ซูแรนส์ ชานกรุงปารีส ก่อนจะย้ายซบ บูโลญจ์น และค่อยๆ ไต่ระดับจากทีมสำรองในลีกระดับ 6 สู่ระดับ 5
เขายอมรับว่า ความคิดในการไปทำอาชีพนักบัญชีตามที่ร่ำเรียนมาแอบผุดขึ้นในหัว แต่พอพาตัวเองขึ้นทีมชุดใหญ่ของ บูโลญจ์น ในดิวิชั่น 3 ได้ จนนำมาซึ่งสัญญาอาชีพฉบับแรก ก็องเต้ ก็ไม่เคยคิดถึงอย่างอื่นอีกเลยนอกจากฟุตบอล
หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมอย่าง เซดริก ฟาเบียง เคยเล่าผ่านสื่อท้องถิ่นว่า “นอกสนาม เขาเงียบขรึม แต่ในสนาม เขาเหมือนปีศาจร้าย ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยเห็นใครวิ่ง วิ่ง และวิ่ง บ้าคลั่งเหมือนเขามาก่อน นอกจากนี้ เขายังมีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งมาก เขาสามารถเล่นเกมให้จบ แล้วไปวิ่งมาราธอนต่อได้สบายๆ”
สมัยอยู่ บูโลญจ์น ช่วงปี 2010-2013 ก็องเต้ ยังไม่มีเงินพอซื้อรถขับ แต่เขาไม่เคยสนอยู่แล้ว และสบายๆ กับการควบสกู๊ตเตอร์คันจิ๋ว ไปซ้อมแล้วก็กลับบ้าน
ผลงานบนสนามของ ก็องเต้ พูดแทนทุกอย่าง เขาค่อยๆ อัพเลเวลขึ้นมาเรื่อยๆ
บูโลญจน์ จบฤดูกาลด้วยอันดับ 13 บนตารางดิวิชั่น 3 โดยที่ ก็องเต้ พลาดการลงสนามแค่นัดเดียวจากทั้งหมด 38 เกมในฤดูกาล 2012/13 จนทีมที่ใหญ่กว่าจาก ลีก เดอซ์ อย่าง ก็อง คว้าตัวเขาไปเข้าสังกัดแบบฟรีๆ
นับเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมของเทรนเนอร์ ปาทริซ การ็องเด้ เพราะไม่เพียงแต่ ก็องเต้ จะช่วยให้ ก็อง เลื่อนสู่ ลีก เอิง เท่านั้น แต่เขายังมีส่วนสำคัญในการทำให้สโมสรอยู่รอดบนลีกสูงสุดของฝรั่งเศสต่อไปอีกปีด้วย
ก็องเต้ ใช้เวลาแค่ 3 ปีเท่านั้นเองนะครับในการเดินทางจากดิวิชั่น 6 ของประเทศสู่เวที ลีก เอิง
กระทั่งปี 2015 มีข่าวว่า เขาได้รับความสนใจจากยักษ์ใหญ่แดนน้ำหอมอย่าง โอลิมปิก มาร์กเซย
ก็องเต้ ยอมรับว่า ต้องการเดินตามรอยเท้าตำนานสโมสรอย่าง ฟร้องค์ ริเบรี่ และ ซามีร์ นาสรี่ แถม “โอแอ็ม” เป็นทีมโปรดด้วย
แต่ที่สุดแล้ว โชคชะตาก็นำพา ก็องเต้ ให้ย้ายสู่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ของ เลสเตอร์
แล้วที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์…
หนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ยังคงถูกเล่าขานกันในทีม “จิ้งจอกสยาม” คือความสมถะของ ก็องเต้
เขาย้ายมาอยู่กับ เลสเตอร์ เมื่อ ส.ค. ปี 2015 ด้วยค่าตัว 5.6 ล้านปอนด์ และตัดสินใจเลือกรถมินิมือสองคันจิ๋วมาใช้งาน แม้จะมีศักยภาพในการถอยซูเปอร์คาร์คันหรูเหมือนเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ ก็ตาม
ในขณะที่ แดเนี่ยล เทย์เลอร์ นักข่าวสังกัดสื่อดังอย่าง “เดอะ การ์เดี้ยน” เปิดเผยโดยอ้างแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เป็นอดีตเพื่อนเก่าของ ก็องเต้ ที่ เลสเตอร์ ว่า จริงๆ แล้ว แข้งจอมขยัน ไม่ได้อยากมีรถ เพราะใจจริง อยากวิ่งมาซ้อม แล้ววิ่งกลับบ้านมากกว่า
“มีคนพูดกันมากเรื่อง ก็องเต้ อยากขับมินิ แทนที่จะเป็นรถหรูราคาแพงที่เป็นรถในฝันของหลายๆ คน แต่จริงๆ แล้ว ตอนที่ ก็องเต้ ย้ายมา เลสเตอร์ ใหม่ๆ เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ต้องการมีรถส่วนตัว เรื่องมันยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ ก็องเต้ คิดถึงความเป็นไปได้ในการวิ่งมาซ้อมทุกๆ วัน แต่ถูกเพื่อนท้วงไว้ว่า นั่นไม่ใช่เรื่องปกติในพรีเมียร์ลีกนะ” เทย์เลอร์ เคยเล่าไว้ในคอลัมน์สุดเอ๊กซ์คลูซีฟของตัวเอง
เรื่องความสมถะของดาวเตะชาวฝรั่งเศส ได้รับการยืนยันโดย มาสเตอร์ คนองพจน์ สิทธิเทศานนท์ ที่ดูแลเยาวชนไทยที่ เลสเตอร์ ว่า ก็องเต้ เป็นนักเตะที่น่าชื่นชมมากในโลกลูกหนังยุคโมเดิร์น มุ่งสร้างผลงานในสนามด้วยฝีเท้า ตั้งใจซ้อม ไม่เคยมีปากเสียงกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่เคยฟุ่มเฟือย เพราะสำเหนียกดีว่าครอบครัว ญาติพี่น้องมาจากความยากลำบาก เงินที่ได้จากการค้าแข้งจึงใช้สอยอย่างประหยัด
“สมัยอยู่ เลสเตอร์ เราสนิทกันพอสมควร ไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ เขาเช่าแฟลตห้องธรรมดาอยู่ ในห้องไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น เขาขับรถมือสอง ไม่ชอบเที่ยว และรักความสงบ ครั้งหนึ่ง เคยมีเพื่อนนักเตะซื้อนาฬิกาหรูมาใส่ เราถามเขาเล่นๆ ว่า ทำไมไม่ซื้อบ้าง เขายิ้มแล้วตอบว่า ยูรู้ไหมเงินที่ใช้ซื้อนาฬิกาเรือนนี้ เอาไปเลี้ยงญาติพี่น้องที่บ้านเกิดไอ 20 คนได้ถึง 1 ปีเชียวนะ!”
หลังย้ายมาอยู่กับ เชลซี แล้ว ก็องเต้ ก็ยังคงใช้รถมินิคันเดิม เพิ่มเติมคือโทรศัพท์มือถือจอแตกด้วยนะครับ กระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ ซี้เก่าอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ เพิ่งจะออกมาเผยข่าวว่า ดาวเตะจอมขยันเปลี่ยนรถคันใหม่เรียบร้อยแล้ว หลังจากมีโอกาสได้สอบถามสารทุกข์สุขดิบกัน
แต่รู้ไหมครับว่า รถใหม่ของ ก็องเต้ คือ “รถใหม่ที่ไม่ใหม่”
เขายังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือเลือกซื้อรถมินิรุ่นเดียวกับเมื่อ 4 ปีก่อนเป๊ะๆ ซึ่งปัจจุบัน มันตกรุ่นไปแล้ว และสามารถหาซื้อได้ในสนนราคาแค่ 10,345 ปอนด์ (ราว 403,455 บาท) เพียงเศษเสี้ยวของค่าแรงของเขาที่รับใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ อยู่ที่สัปดาห์ละถึง 150,000 ปอนด์ (ราว 5.85 ล้านบาท)
ส่วนคันเดิม ที่เคยโดนเฉี่ยวชนกับรถบรรทุกจนแหกข้าง แต่ ก็องเต้ ก็ยังขับมาซ้อมหน้าตาเฉยจนทำเอาเพื่อนๆ ฮือฮาเมื่อปี 2018 ล่าสุด รายงานระบุว่า เขาส่งมันลงเรือกลับไปที่ฝรั่งเศส เพื่อไว้ใช้งานตอนกลับไปพักผ่อนที่บ้าน โดยไม่ได้ขายทิ้งแต่อย่างใด
ก็องเต้ ไม่ใช่คนประหยัดเกินไปหรอกครับ ถ้าหากคุณย้อนกลับไปดูเส้นทางชีวิตในอดีตของเขา ก็คงเข้าใจว่า ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนี้
เขาเดินทางมาไกลมากกว่าจะมีวันนี้ได้
สตีฟ วอลช์ อดีตแมวมอง เลสเตอร์ ที่ได้รับเครดิตในฐานะผู้ค้นพบเพชรเม็ดงามสีนิลเม็ดนี้ เคยพูดเอาไว้อย่างน่าสนใจ
“แคแร็กเตอร์ คือสิ่งที่สำคัญมาก และคุณสามารถเห็นอะไรได้ไม่น้อยจากการดูเขาบนสนาม”
ก็องเต้ ตัวเล็กกะจิดริด แต่ไม่เคยกริ่งเกรงคู่ต่อสู้เลย เขาพร้อมประจัญบานกับนักเตะทุกคนในโลก และเพื่อนร่วมทีมทุกคนอุ่นใจได้เสมอเมื่อมีเขาอยู่ในทีม
เอแด็น อาซาร์ อดีตสตาร์ เชลซี ยอมรับว่า ก็องเต้ เป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก และเป็นคนที่ทำให้ตัวเองยิงประตูได้มากมาย
ส่วนเพื่อนร่วมทีมชาติฝรั่งเศส ก็ยกย่อง ก็องเต้ เช่นกัน โดย แบลส มาตุยดี้ แต่งเพลงชมหลังเกมที่ “ตราไก่” ชนะ อาร์เจนตินา 4-3 ในฟุตบอลโลก 2018 รอบ 16 ทีมสุดท้ายว่า “เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เขาตัวเล็ก แต่ก็หยุด ลิโอเนล เมสซี่ ได้”
ขณะที่ ก็องเต้ ปฎิเสธที่จะรับคำชมแต่เพียงผู้เดียว โดยพูดเพียงว่า “ไม่ ไม่ ไม่ พวกเราทำด้วยกันในฐานะทีม”
นับตั้งแต่ย้ายสู่ เดอะ บริดจ์ พ่อหนุ่ม ก็องเต้ คนขยัน มีค่าเฉลี่ยการเข้าปะทะสำเร็จ, ตัดทางลำเลียงคู่แข่ง และชิงบอลคืนมาได้หนึ่งครั้งในทุกๆ 5.8 นาทีทั้งในลีก และฟุตบอลถ้วยยุโรป
เขาแย่งชิงบอลคืนไปแล้ว 1,350 ครั้ง, เข้าแท็กเกิ้ล 493 ครั้ง และตัดบอล 360 ครั้ง
ถือว่าอัตราการทำงานสูงปรี๊ด
รู้แล้วใช่ไหมครับว่า ทำไมเพื่อนๆ ถึงมองดู ก็องเต้ ชูถ้วยด้วยสายตาเอ็นดูปานนั้น
สำหรับ ก็องเต้ แล้ว เขาไม่ได้แค่น่าชื่นชมบนสนาม แต่รวมถึงนอกสนามด้วย
ครั้งหนึ่ง ก็องเต้ เคยตกรถไฟ เพราะไปถึงสถานีไม่ทัน ก็เลยตัดสินใจจะไปทำพิธีละหมาดในห้องทำพิธีของสถานี คิงส์ ครอส เพื่อรอเที่ยวต่อไป ซึ่งที่นั่นเขาได้เจอกับแฟนบอลหลายคน ก่อนจะมีสาวก อาร์เซน่อล รายหนึ่ง ลองเอ่ยปากชวนเขาไปกินข้าวที่บ้าน
ปรากฏว่า ก็องเต้ ยิ้มแล้วพยักหน้าโอเคเฉย งานนี้ นอกจากจะโซ้ยแกงกะหรี่ไก่ที่บ้านของแฟนบอลรายดังกล่าวอย่างเอร็ดแล้ว เขายังนั่งจับจอยเล่นวิดีโอเกม และได้ดูทีวีร่วมกับครอบครัวกองเชียร์ทีมคู่แข่งแบบไม่ถือตัวด้วย
อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ แถมได้ความสนุกกลับบ้านอีก
555
นี่ล่าสุด ร้านพูลในอังกฤษ ปรับอัตราต่อรองแล้วนะครับว่า ก็องเต้ จะคว้าบัลลงดอร์ปี 2021 ที่ราคา 11/1 (แทง 1 ได้ 11 ไม่รวมทุน)
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ก็องเต้ ยังมีงานรออยู่อีกในอีกไม่กี่วันนี้
เขาเพิ่งถูกจารึกชื่อเป็นนักเตะคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, พรีเมียร์ลีก และแชมป์ฟุตบอลโลก ต่อจาก เธียร์รี่ อองรี (ฝรั่งเศส), ฟาเบียง บาร์กเตซ (ฝรั่งเศส), ชูเลียโน่ เบลเล็ตติ (บราซิล), เคราร์ด ปีเก้ (สเปน) และ เปโดร (สเปน)
สถานีต่อไปของเขาคือ ยูโร 2020 กับทีมชาติฝรั่งเศส
ผลงานในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปของเขา จะเป็นอีกหนึ่งดัชนีชี้วัดว่า ก็องเต้ เหมาะสมแค่ไหนกับรางวัลอันทรงเกียรติอย่าง บัลลง ดอร์
เปาผี
Add friend ที่ @Siamsport