วันอาทิตย์ ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2565, 06.45 น.
ภาพประวัติศาสตร์ พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมอบถ้วยเอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรกในรัชสมัยของพระองค์ให้กับ สแตนลี่ย์ แมทธิวส์ กัปตันทีมแบล็คพูล เปลี่ยนแปลงโลกฟุตบอลของอังกฤษไปตลอดกาล
ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ที่เรารู้จักกันดี มีตำนานเล่าขานมากมาย และหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญก็คือ นัดชิงชนะเลิศ ปี 1953
โลกรู้จักนัดชิงเกมนี้ที่ แบล็คพูล เอาชนะ โบลตัน วันเดอเรอร์ส 4-3 และเรียกว่า “The Matthews Final” มีผู้ชมมากถึง 100,000 คนในสนามเวมบลีย์ เอ็มไพรพูล
ที่สำคัญก็คือ เป็นวันเปลี่ยนแปลง“โลกฟุตบอล” ในสหราชอาณาจักร ไปตลอดกาล……..
เกมนั้นแข่งขันในวันที่ 2 พฤษภาคม 1953 เป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่งสำหรับชาวบริเตนใหญ่ ทั้ง อังกฤษ, สกอตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ เนื่องจากกำลังจะมีพิธีราชาภิเษกของควีนเอลิซาเบธที่ 2 (Coronation of Elizabeth II) ในวันที่2 มิถุนายน 1953
ควีนเอลิซาเบธ ที่ 2 ตกหลุมรักครั้งแรกกับฟุตบอลในบ้านแห่งหนึ่งของครอบครัวชาวสก็อต ซึ่ง “ราชินีน้อย” ชื่นชอบในการทำหน้าที่เป็น “ผู้รักษาประตู”ให้กับเกมฟุตบอลในครอบครัวที่บัลมอรัล ตามที่โรเบิร์ตจ็อบสัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราชวงศ์อังกฤษ บันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
พระองค์กำลังจะทำพิธีราชาภิเษกในช่วงเวลาห่างกันกับนัดชิงเอฟเอ คัพ เพียงเดือนเดียว และเมื่อข่าวสะพัดออกไปว่า ราชินีองค์ใหม่ จะมามอบถ้วยแชมป์เอฟเอ คัพ บวกกับงานพิธีที่จะถ่ายทอดสด ทำให้ยอดจำหน่ายโทรทัศน์ และวิทยุ ในเกาะพุ่งกระฉูดอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ราชินีองค์ใหม่ได้มอบถ้วยให้กับสแตนลีย์ แมทธิวส์ กัปตันแบล็คพูล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอล
ผู้คนในยุคสมัยนั้น ถือเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้ชมกีฬาถ่ายทอดสด หลายครัวเรือนเลือกที่จะซื้อหรือเช่าโทรทัศน์ เพื่อเตรียมไว้สำหรับทั้งสองงานนี้ มีการออกอากาศเต็มรูปแบบทั้งทีวีและวิทยุผ่านทาง BBC World Service และในรายการ Light Programme
หลังจากรอบชิงชนะเลิศจบลง ได้รับคำตอบและได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ได้รับความนิยมอย่างมาก และทำให้จากนั้นเป็นต้นมา โลกฟุตบอลในอังกฤษได้เปลี่ยนไป
ควีนเอลิซาเบธที่ 2 มอบแชมป์ฟุตบอลโลกให้กับ บ็อบบี้ มัวร์ กัปตันทีมชาติอังกฤษ เมื่อปี 1966
ฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ หรือ Cup Final ก็ได้รับสลอตแบบเดี่ยวๆ เป็นของตัวเอง และออกอากาศทางทีวีทางวิทยุอย่างเต็มรูปแบบนับจากนั้นเป็นต้นมา
จึงไม่แปลกที่จะบอกว่า ฟุตบอลจึงเกี่ยวข้องกับพระองค์อยู่เสมอ
สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ ได้รับการอุปถัมน์สนับสนุนจากราชวงศ์อย่างเป็นทางการในยุคของควีน นับตั้งแต่ปี 1955 เป็นต้นมา
หลังจากการนั่งตำแหน่งประธานเอฟเอ ยาวนานถึง 16 ปีของ อเล็กซานเดอร์ เคมบริดจ์ หรือ เอิร์ลแห่งแอธโลน จบลงในปี 1955 มีการแต่งตั้งให้ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระพระสวามี รับตำแหน่งเป็นเวลา 2 ปี จากนั้นส่งต่อให้กับ เจ้าชายแฮร์รี่ ดยุกแห่งเกลาส์เตอร์ ทำงานตั้งแต่ปี 1957-1963
มาในระหว่างปี 1963-1971 จอร์จ เฮนรี่ ฮูเบิร์ต ลาสเซลล์ ซึ่งเป็น เอิร์ลแห่งแฮร์วู้ด เข้ามาทำงาน จากนั้นทุกอย่างก็อยู่ภายใต้การดูแลของ รอยัลแฟมิลี่ อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนท์ เข้ามาทำงานอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1971 ก่อนจะลงตำแหน่งในอีก 29 ปีต่อมา และเป็น เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ค มาทำงาน 7 ปี กระทั่งปี 2006 เป็นต้นมา ตำแหน่งนี้คือ เจ้าชายวิลเลี่ยม ดยุกแห่งเคมบริดจ์
การปรากฏตัวของราชินีในสนามฟุตบอลเวมบลีย์ กลายเป็นกิจวัตรของพระองค์ จนเหมือนกับภาพที่ชินตา และเป็นภาพจดใจ รวมไปถึงภาพที่ถูกจดจำไปตลอดกาล เมื่อปี 1966 ให้หลังจากพระองค์ครองราชย์ 14 ปี “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก เป็นสมัยแรก ด้วยการชนะ เยอรมันตะวันตก 4-2
พระองค์ทรงมอบถ้วยแชมป์จูลล์ส ริเมต์ ให้กับ บ็อบบี้ มัวร์กัปตันทีม พร้อมกับเรื่องเล่าที่ยังคงพูดกันถึงทุกวันนี้
มัวร์ บอกว่า “ผมมองที่มือของผม… และมันสกปรกมาก!”ตัวของมัวร์ เพิ่งจะตั้งข้อสังเกตที่มือของเขาเอง และรีบทำความสะอาดอย่างรวดเร็วที่เสื้อผ้าของเขา เพราะกังวลว่าจะไปโดนถุงมือสีขาวขององค์ราชินี
เป็นที่กล่าวขวัญกันว่า ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ทรงโปรดสโมสรเวสต์แฮมในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อทีมนั้นมี บ็อบบี้ มัวร์ เป็นกัปตัน ตามคำกล่าวของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์อังกฤษ แม้ว่า มัวร์ จะพยายามสงวนท่าที และรักษาความเป็นกลางของเขาอย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้ก็ตาม
พระองค์ร่วมแสดงในพิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ 2012 ร่วมกับ แดเนี่ยล เคร็ก ในบทบาทของเจมส์ บอนด์ 007
แต่ต่อมาในปี 2007 “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ได้รับการเชิญจากพระองค์ให้มาที่พระราชวังบัคกิงแฮม เพื่อจิบน้ำชาในตอนบ่ายซึ่งตอนนั้น อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทัพกันเนอร์ส
เชสก์ ฟาเบรกาส กองกลางอาร์เซนอล ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่า “ราชินีคือแฟนฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาร์เซนอล”
ก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2004 ในยุคแห่ง “Invincibles” พวกเขาได้รับเชิญให้ไปพบกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และมีการจัดงานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการ
เราสามารถจะพูดได้เต็มปากว่า ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ทรงอยู่ใน “ทุกช่วงเวลา” ที่อังกฤษ ประสบความสำเร็จในโลกของกีฬาตลอดรัชกาลของพระองค์
นอกจากการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกแล้ว พระองค์ยังคงรักในกีฬาต่างๆ มากมาย และมีส่วนร่วมอย่างนับครั้งไม่ถ้วนทั้งที่ชื่นชอบเป็นส่วนพระองค์ และพระราชกรณียกิจ
เทนนิสวิมเบิลดัน, กีฬาคอมมอนเวลล์เกมส์ และแน่นอนที่สุด พระองค์รักในการชมม้าแข่ง
ความรักของพระองค์ที่มีต่อม้า เป็นเรื่องที่ทราบกันเป็นอย่างดี เพราะราชินีมีความสนใจอย่างมากในม้า นอกเหนือจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับโลกฟุตบอล
ด้วยเหตุนี้ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 จึงซื้อม้าพันธุ์ดีตลอดรัชสมัยของเธอ เพื่อใช้ม้าเหล่านั้นลงแข่งขันเพื่อเอาชนะการแข่งขันคลาสสิกของอังกฤษ เช่น เอปสันดาร์บี้ โอ๊คส์ หรือเซนต์เลเกอร์ ตลอดจนถ้วยทองที่รอยัล แอสคอท จึงไม่แปลกที่จะถูกเรียกว่า “กีฬาแห่งราชา”
การครองแชมป์โกลด์ คัพ ที่รอยัล แอสค็อต ในปี 2013 นับเป็นครั้งแรกที่ม้าจากกษัตริย์ครองตำแหน่งผู้ชนะในรอบ207 ปี
สำคัญที่สุดก็คือ ในยุคของพระองค์ ได้จัดเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเกมส์ ที่มหานครลอนดอน ปี 2012 และสร้างความประทับใจให้โลกใบนี้ด้วยการที่พระองค์เป็นประธานการแข่งขัน และร่วมแสดงในพิธีเปิดการแข่งขัน
“พระองค์ตัดสินใจเพียง 5 นาที เพื่อจะเข้าร่วม และถามว่าจะมีบทให้พูดด้วยหรือไม่”
แล้วทุกคนก็ได้ยินเสียงพระองค์ทักทายว่า “สวัสดี มิสเตอร์บอนด์!!!” ก่อนจะเดินออกมาจากพระราชวังบักกิ้งแฮม พร้อมกับ เจมส์ บอนด์ ที่แสดงโดย แดเนี่ยล เคร็ก จากนั้นก็เป็นภาพที่พระองค์เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์(ใช้สแตนด์อิน) เข้าสู่สนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม
ความน่าสนใจและใส่ใจในรายละเอียดก็คือ คอปเตอร์ลำนั้นบินผ่าน ลอนดอน บริดจ์ ซึ่งหลายคนไม่ทราบ หรืออาจจะเพิ่งทราบว่า เป็นรหัสประจำตัวของพระองค์เอง
ถือว่าทีมงานหาก “เจตนา” ให้งานออกมาแบบนี้ถือว่า “ฉกาจมาก”
และแม้ว่ามาถึงในวันนี้ เราจะได้ยินคำว่า London bridge is Down
แต่ตำนานของพระองค์ยังคงอยู่ต่อไปตราบชั่วนิรันดร์……….
บี แหลมสิงห์