คู่มือคนฝันสลาย : นักเตะควรรับมืออย่างไรเมื่อโอกาสเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่หลุดไปต่อหน้า – Sanook

ทุกทัวร์นาเมนต์การแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติ ต้องมีดราม่าประเด็นของนักฟุตบอล ที่หลุดทีมชาติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะถูกมองข้ามโดยโค้ช หรือเจออาการบาดเจ็บเล่นงานก็ตาม 

ล่าสุด คือ กรณีของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์ แบ็คขวาทีมชาติอังกฤษ ที่ต้องถอนตัวก่อนฟุตบอลยูโร 2020 จะเริ่มขึ้นเพียง 8 วัน พร้อมกับคำกล่าวสั้น ๆ ที่ว่า “ผมโคตรผิดหวัง”

การอดไปลุยทัวร์นาเมนต์คือบาดแผลครั้งใหญ่ของนักฟุตบอลทุกคน ที่เข้าข่ายมีโอกาสติดทีมชาติ อย่างไรก็ดี นักเตะหลายคนไม่ได้นั่งจมอยู่กับอดีตที่ปวดร้าว และก้าวข้ามความเจ็บปวด กลับมาติดทีมชาติได้อีกครั้ง ในแบบฉบับที่ต่างกันออกไป

กำลังใจสำคัญที่สุด

สำหรับมนุษย์ การรับมือต่อความผิดหวัง ไม่เคยเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดายอยู่แล้ว… ยิ่งตั้งความหวังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น 

โดยเฉพาะเหล่านักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยมหลายคน การหลุดโผรายชื่อทัวร์นาเมนต์รายการใหญ่ เปรียบเสมือนฟ้าผ่ากลางใจ ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดมหาศาล

ปัจจัยสำคัญข้อแรก ที่จะช่วยให้พวกเขาก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ คือ “กำลังใจ” เพราะในเวลานั้น นักฟุตบอลที่ไม่ได้ถูกเรียกติดทีม ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่เขาจะรู้สึกด้อยค่า บางคนอาจโทษตัวเองว่ายังดีไม่พอ หรือเกิดความรู้สึกท้อแท้ที่ต้องเจอกับอาการบาดเจ็บ ในช่วงเวลาที่ไม่คาดฝัน 

ดังนั้นการได้รับกำลังใจ หรือความไว้วางใจ ความเชื่อมั่นจากผู้คนรอบข้าง ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ นักเตะเหล่านั้น ลุกขึ้นเดินหน้าต่อ เพื่อก้าวข้ามความเสียใจ

เลรอย ซาเน่ ปีกตัวเก่งของทีมเยอรมัน เคยเป็นข่าวดังไปทั่วโลก หลังจากเจ้าตัวไม่มีรายชื่อติดทีมไปลุยฟุตบอลโลก 2018 ทั้งที่ในฤดูกาล 2017-18 เขาเป็นตัวหลักของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ระเบิดผลงาน 14 ประตู จากการลงสนาม 49 นัดในทุกรายการ

ซาเน่ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ทันทีที่เห็นรายนามนักเตะทีมชาติเยอรมัน และไม่พบชื่อของตัวเองอยู่ในนั้น เขาเจ็บปวดมาก แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็ได้รับข้อความให้กำลังใจจาก เป๊ป กวาดิโอลาร์ ผู้จัดการทีมของแมนฯ ซิตี้ ซึ่งช่วยเยียวยาหัวใจได้เป็นอย่างดี

“เป๊ปคุยกับผมทุกเรื่องหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น เขาแบ่งปันทุกมุมมองกับผม เขาเป็นห่วงความรู้สึกของผมมาก และทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้”

“ผมยอมรับว่า การนั่งดูฟุตบอลโลกอยู่ที่บ้าน เห็นเพื่อนของผมอยู่ในการแข่งขันผ่านหน้าจอ มันเจ็บปวดนะ เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ผมก้าวข้ามผ่านมันได้แล้ว ผมยังมีเวลาเหลืออีกมากในฐานะนักฟุตบอล และผมจะกลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม” ซาเน่ กล่าวผ่านสื่อ

ซาเน่ ทำได้ตามที่ลั่นวาจา เข้าก้าวผ่านเรื่องน่าผิดหวังในอดีต กลับมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีมชาติเยอรมัน ลุยศึกยูโร 2020 ในฐานะตัวความหวังที่จะพาทัพอินทรีเหล็ก กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

อยู่กับความเป็นจริง

วิธีที่ดีที่สุดของการไม่ผิดหวัง คือการตั้งความหวังสูงเกินไปแก่ตัวเอง แม้ในความจริงคงเป็นไปไม่ได้เลย ที่มนุษย์จะใช้อยู่โดยไม่มีความหวัง 

แต่การไม่หวังมากเกินกว่าความเป็นจริง ดูจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ไม่น้อย สำหรับการรับมือความรู้แย่ในจิตใจ เพราะอย่างน้อย เราก็สามารถรับมือได้ง่ายขึ้น หากเกิดเรื่องราวที่น่าผิดหวัง เพราะเราเผื่อใจบางส่วนที่ยอมรับ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในทางลบ และไม่ยากที่จะก้าวผ่านความผิดหวังไป

เควิน โฟลลันด์ กองหน้าของทีมชาติเยอรมัน คือหนึ่งคนที่ใช้วิธีนี้ เพราะโฟลลันด์คือกองหน้าดาวเด่นของบุนเดสลีกา มาหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 

เจ้าตัวยิง 14 ประตูในฟุตบอลลีก ฤดูกาล 2017-18 กับสโมสรอย่างเลเวอร์คูเซน ผลงานของเขาเข้าตาแฟนบอลอินทรีเหล็กไม่น้อย มีกระแสเชียร์อยากเห็นเจ้าตัว เข้าไปเป็นกำลังหลักของทีมชาติเยอรมัน ในฟุตบอลโลก 2018

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงคือ โฟลลันด์ไม่ได้ติดทีมชาติมาตั้งแต่ปี 2016 ทั้งที่เขาเป็นกองหน้าเยอรมันฝีเท้าดีมาตลอด ทำให้ทุกครั้งที่มีการเรียกผู้เล่น หัวหอกรายนี้จะไม่หวังถึงการมีชื่อติดทีมชาติ เพราะเขายอมรับความจริงที่ว่า โค้ชทีมชาติไม่ชอบใช้งานเขา แม้จะมีผลงานโดดเด่นก็ตาม

“ทุกครั้งที่มีคนถามคำถามนี้ (หวังกับการติดทีมชาติไหม ?) ผมจะตอบพวกเขาไปทุกครั้งว่า ผมอยู่กับความเป็นจริง ผมมีช่วงเวลาที่ดี ยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง ผมยิงได้ 14 ประตูในบุนเดสลีกา สองฤดูกาลติดต่อกัน แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม (ไม่ถูกเรียกติดทีมชาติ)”

“พอมาถึงจุดหนึ่ง ผมก็เลิกคิดไปเองแหละ ว่าจะติดหรือไม่ติดทีมชาติ ไม่ได้ต้องมานั่งกังวลอะไรมากนัก” เควิน โฟลลันด์ กล่าว

ถึงโฟลลันด์จะบอกว่าไม่หวัง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขายังคงหวังอยู่ตลอด เพียงแต่ต้องมองถึงความจริงว่า หากเราไม่ใช่เต็งจ๋าที่จะติดทีมชาติ ไม่ใช่ผู้เล่นคนโปรดเข้าระบบที่โค้ชขาดไม่ได้ จำเป็นจะต้องเผื่อใจรับความผิดหวังเอาไว้ล่วงหน้า

โฟลลันด์ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเข้าอกเข้าใจว่า เฮดโค้ชทีมชาติ เวลาเลือกใครติดทีม ย่อมมีเหตุผลมากกว่าแค่เรื่องผลงานส่วนตัวในลีก แต่อาจมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ระบบการเล่น, สิ่งที่โค้ชมองหาจากผู้เล่น ซึ่งเขาก็เข้าใจและทำใจยอมรับได้ว่า อาจมีคนอื่นที่ตอบสนองความต้องการของโค้ชได้มากกว่า 

เขาจึงมูฟออนออกจากความผิดหวังได้เร็ว และก้มหน้าก้มตาทำผลงานของตัวเองต่อไป ผลก็คือ โฟลลันด์ ยังคงรักษามาตรฐานการเป็น ศูนย์หน้าชาวเยอรมันที่ผลิตสกอร์ต่อฤดูกาลได้อย่างดีเยี่ยม ต่อให้โค้ชทีมชาติจะเลือกหรือไม่เลือกก็ตาม 

การหวังแต่พอตัวแบบ โฟลลันด์ ไม่ได้หมายถึงชีวิตที่ไร้ความหวัง จากปากคำของ ปีเตอร์ บอซส์ อดีตกุนซือของเลเวอร์คูเซน ที่เคยร่วมงานกับโฟลลันด์ เผยว่า กองหน้ารายนี้ยังคงทำงานอย่างหนักอยู่ตลอด เพื่อหวังจะติดทีมชาติสักวันหนึ่ง เพียงแต่เวลาไม่ถูกเลือก เขาก็ไม่ได้มานั่งเสียใจ ร้องไห้ฟูมฟาย หรือจมอยู่กับความรู้สึกด้อยค่า 

สุดท้าย ผลงานของโฟลลันด์ก็ได้รับการมองเห็น หลังจากเขาย้ายไปเล่นให้กับโมนาโก ในลีกเอิง ฝรั่งเศส และยิงไป 16 ประตู  ในฤดูกาลนี้มีชื่อติดทีมชาติเยอรมัน ลุยฟุตบอลยูโร 2020

ชีวิตต้องเดินหน้าต่อ

การไม่ถูกเรียกติดทีมชาติอดไปลุยทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ถือเป็นความเจ็บปวดอย่างมากแล้ว สำหรับนักฟุตบอลฝีเท้าดี แต่การไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน เพราะโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน นั่นคือความเจ็บปวดยิ่งกว่า

เหยื่อรายล่าสุดของอาการบาดเจ็บ คือ เทรนต์ อเล็กซ์ซานเดอร์ อาร์โนลด์ แบ็คขวาตัวเก่งของทีมชาติอังกฤษ ที่บาดเจ็บกล้ามเนื้อ ในเกมอุ่มเครื่องกับออสเตรีย ต้องถอนตัวจากการแข่งขัน ก่อนที่จะเริ่มขึ้นเพียง 8 วัน

“ผมโคตรผิดหวัง” เทรนต์ โพสต์ลงทวิตเตอร์ส่วนตัว เป็นประโยคสั้น ๆ แสดงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด กับการพลาดทัวร์นาเมนต์ครั้งนี้

ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเทรนต์จะรู้สึกแบบนั้น เพราะนักเตะที่ทำผลงานดีมาตลอด แต่กลับต้องพลาดทัวร์นาเมนต์สำคัญ ที่ทีมชาติอังกฤษมีโอกาสไปถึงแชมป์มากที่สุด นับตั้งแต่ฟุตบอลยูโร 1996 ที่จัดขึ้นในประเทศอังกฤษ

ไหนยังต้องมาเจ็บตัว พักรักษาร่างกายอีก แน่นอนว่าผู้เล่นที่ได้ติดทีมชาติแน่ ๆ แต่ต้องถอนตัวเพราะอาการบาดเจ็บ ย่อมทำใจได้ยากกว่า คนที่ไม่ถูกเรียกมาตั้งแต่ต้น เพราะต้องรักษาทั้งร่างกาย และจิตใจให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม 

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เจอเรื่องร้ายแบบนี้ แล้วจะกลับมาไม่ได้ ตัวอย่างที่ดีสุดคนหนึ่ง ก็คือ มาร์โก รอยส์ ตัวรุกของทีมชาติเยอรมัน ที่ได้รับบาดเจ็บ จนไม่มีชื่อไปลุยฟุตบอลโลก 2014 ที่จบลงด้วยการคว้าแชมป์โลกของทัพอินทรีเหล็ก

เท่านั้นยังไม่พอ 2 ปีต่อมา กับฟุตบอลยูโร 2016 รอยส์ต้องพลาดการแข่งขันอีกครั้ง ด้วยอาการบาดเจ็บ เท่ากับว่าเขาพลาดการแข่งขันทีมชาติ 2 รายการ ในช่วงที่ตัวเองอยู่จุดพีคของนักฟุตบอล

“สำหรับผม นี่คือฝันที่พังทลาย มันเจ็บปวดมาก และเจ็บเป็นสองเท่า หลังจากเห็นทีมคว้าแชมป์ และผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น” 

หากจะถามว่า รอยส์ ใช้วิธีใดในการลบความเจ็บปวดครั้งนั้น คำตอบคือ ไม่มี เจ้าตัวให้สัมภาษณ์หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายปีว่า เขาไม่เคยลืมความผิดหวังนั้นได้ และคิดถึงการไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชุดแชมป์โลกอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ช่วยทำให้เขาผ่านความเจ็บปวดอันเลวร้าย คือเลือกมองถึงอนาคต มากกว่าจมอยู่กับอดีต เก็บสิ่งดี ๆ มาเป็นพลังให้กับตัวเอง และเดินหน้าต่อไป

“ผมดีใจนะที่อย่างน้อยเพื่อนของผมก็ได้แชมป์โลก ส่วนผมดีใจมากที่ได้กลับมามีชื่อติดทีมชาติ ลุยฟุตบอลโลก 2018 อีกครั้ง” รอยส์กล่าวหลังจากเขากลับมามีชื่อทีมชาติ ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรก นับตั้งแต่ยูโร 2012

“ผมเข้าใจความรู้สึกนักฟุตบอลทุกคน ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับการแข่งขัน แต่สิ่งที่ผมบอกได้คือชีวิตมันเป็นแบบนี้ เราต้องเดินหน้าต่อไป ผมเป็นคนมองโลกด้วยหวังเสมอ”

แม้ว่าสุดท้าย รอยส์ไม่ประสบความสำเร็จกับฟุตบอลโลกครั้งนั้น เนื่องจาก เยอรมัน ตกรอบแรก แต่เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ถึงจะผิดหวังมากี่ครั้ง แต่ถ้าไม่ยอมแพ้ เก็บความเจ็บปวดไว้ในใจ เดินหน้าสู้ต่อไป โอกาสที่รอคอยจะมาถึงเสมอ

การพลาดทัวร์นาเมนต์ใหญ่ คือความเจ็บปวดของนักฟุตบอลอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นี่ไม่ใช่จุดจบของโลก เพราะสุดท้ายทัวร์นาเมนต์เหล่านี้ จะกลับมาแข่งขันอีกครั้ง เปิดโอกาสให้ผู้เล่นที่เคยพลาดได้มีโอกาสแก้ตัว ทำฝันของตัวเองให้สำเร็จ



Photo : twitter.com/trentaa

ไม่ต่างจากชีวิตของมนุษย์ทุกคน สักวันหนึ่งเราต้องเจอวันแห่งความผิดหวัง ทุกอย่างที่เราหวังไว้ไม่มีอะไรเป็นตามแผน ฝันพังทลายเหมือนโลกล่มสลายลงต่อหน้า

การจมลงกับความผิดหวังในอดีต ไม่เคยมอบสิ่งที่ดีให้กับเรา ไม่ว่าจะหาวิธีทางเยียวยาความเจ็บปวดด้วยวิธีใด ประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป เพราะไม่มีชีวิตของใครจะล้มเหลวในทุกเรื่อง ยกเว้นคนที่ยอมแพ้

แต่หากลุกสู้ต่อ มุ่งไปข้างหน้าเพื่อหาโอกาสให้กับตัวเอง สักวันสิ่งที่คู่ควรกับชีวิต จะมาถึงมือของทุกคนอย่างแน่นอน