เปิดฉากขึ้นแล้ว สำหรับฟุตบอลโลก 2022(FIFA World Cup 2022) ที่ประเทศกาตาร์ ตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน – 18 ธันวาคม 2565
มีทีมฟุตบอลเข้าร่วมแข่งขัน 32 ชาติ แต่มีการถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก
รวมทั้งที่ประเทศไทยเราด้วย
1. ฟุตบอลโลกสมัยใหม่ ไม่ใช่แค่การแข่งขันกีฬา
ไม่ใช่กีฬาสร้างความสามัคคีนานาชาติ
แต่มันเป็นมหกรรมกีฬา เป็นอีเว้นท์ธุรกิจมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเม็ดเงินเข้าเกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมมหาศาล
ในบ้านเรา เมื่อได้ถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีบรรดาผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านกินดื่ม คงจะจัดกิจกรรมกระตุ้นการขาย เพราะมีคอนเทนต์กระตุ้นการดื่มกินได้เป็นอย่างดีมาช่วยดึงดูดลูกค้า ซึ่งมีตั้งแต่ถ่ายทอดสดคู่ 17.00 น. 20.00 น. 23.00 น. และคู่ตี 2 เป็นปัจจัยหนุนเสริมการรับจ่ายใช้สอยกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังไม่นับธุรกิจการท่องเที่ยวชุดกีฬา อุปกรณ์กีฬา
เหมาะกับภาวะที่เราต้องการให้มีกิจกรรมกระตุ้นศรษฐกิจ สนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจบริการ ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 คาดว่าจะมีวงเงินที่ใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ เช่น การซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค สังสรรค์ ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์รับสัญญาณ 18,561 ล้านบาท
ยังไม่นับอีก 57,253 ล้านบาท ในเศรษฐกิจมืด
2. สำหรับประเทศไทย กว่าจะได้ข้อสรุปการถ่ายทอดสด ภาครัฐต้องยื่นมือเข้ามาจัดการ เพราะกลไกตลาดไม่ทำงาน เนื่องจากกฎของ กสทช. “มัสต์แฮฟ” (Must Have) บังคับว่า 7 มหกรรมกีฬาที่คนไทยต้องดูฟรี ประกอบด้วย ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, เอเชี่ยนพาราเกมส์, โอลิมปิกเกมส์, พาราลิมปิกเกมส์ และฟุตบอลโลก ทำให้เอกชนที่จะไปเจรจาซื้อลิขสิทธิ์มาเผยแพร่ในไทยคิดหนัก เพราะซื้อมา ก็จะต้องนำมาถ่ายทอดสดออกฟรีทีวีทุกนัด ต้องให้คนไทยได้ดูฟรีทุกนัด เป็นเงื่อนไขสำคัญ
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการกกท. เปิดเผยว่า กกท. กับ ฟีฟ่า เจรจาจบลงที่ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสด 33 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐ ประมาณ 36 บาท)
มีรายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า งานนี้ แหล่งเงินทุนมาจากไหนบ้าง?
กทปส. (เงินกองทุนที่เก็บจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล) 600 ล้านบาท
True 300 ล้านบาท
ปตท. 100 ล้านบาท
ไทยเบฟ 100 ล้านบาท
ที่เหลือคงนำมาจากกองทุนกีฬาฯ จนครบค่าลิขสิทธิ์ 1,200 ล้านบาท
ตอนแรก ก็คัดค้านกันว่า ไม่ควรนำเงินของกองทุนของรัฐไปซื้อลิขสิทธิ์
แต่หลังจากนั้น เมื่อจะถ่ายทอดสดเข้าจริงๆ การจัดแบ่งตารางการถ่ายทอดสดผ่านช่องต่างๆ ก็เกิดปัญหาโต้เถียงกันว่าแบ่งคู่ถ่ายทอดสดไม่เป็นธรรมตามมาอีก
3. สำหรับคนดู จะถ่ายทอดสดช่องไหน ได้ทั้งนั้น เพราะสามารถดูทีวีดิจิทัลได้ทุกช่องอยู่แล้ว(ขอแค่ตอนถ่ายทอดสด เลือกผู้บรรยายให้ได้ข้อมูลและอรรถรสทุกช่องก็แล้วกัน)
แต่สำหรับทีวีช่องต่างๆ เข้าใจได้ว่า การได้ถ่ายคู่ไหน ใครเตะกับใคร เวลาเท่าไหร่ มันจะมีผลต่อเรตติ้งของช่องด้วย
ทุกรายมีส่วนทางอ้อม ผ่านกองทุน กทปส.
แต่บางราย ก็ลงขัน “จ่ายตรง” มากกว่ารายอื่นๆ
ก็สมควรจะเจรจาพูดคุยกันอย่างเป็นธรรม ใจเขาใจเรา
โดยสามัญสำนึก ก็ควรคำนึงด้วยว่า รายใดลงขันจ่ายเงินไปโดยตรงไปจำนวนมาก เขาควรจะได้โอกาสถ่ายทอดสดพอๆ กันกับรายที่ไม่ได้จ่ายเงินลงขันโดยเลย หรือไม่?
ใครก็อย่าคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
ลองคิดเล่นๆ แค่คิดว่า ฟุตบอลโลกมีให้ชมกันทั้งหมด 64 คู่ เงินค่าลิขสิทธิ์ 1,200 ล้านบาท
ครึ่งหนึ่งของแหล่งเงิน มาจาก กทปส. ดังนั้น32 นัด ก็ควรให้ทีวีดิจิทัลทุกช่องได้หารเฉลี่ยและจับสลากอย่างเท่าเทียมกัน โดยมีผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล เข้าร่วม 17 ช่อง ประกอบด้วยทรูโฟร์ยู , ทีสปอร์ต7, ช่อง 3, ช่อง 5, ช่อง 7, ช่อง 9MCOT, NBT, Thai PBS, ไทยรัฐทีวี 32, ช่อง 8,อมรินทร์ทีวี 34 HD, MONO 29, PPTV 36, GMM 25,JKN 18 และ ONE 31
อีกครึ่งหนึ่งของแหล่งเงิน มาจากเอกชนโดยตรง ดังนั้น อีก 32 นัด ก็ควรให้คนลงขันได้มีส่วนตัดสินใจ หรือไม่?
นี่คิดแบบสามัญสำนึกง่ายๆ
เพราะฉะนั้น การที่ช่องบางช่องได้ถ่ายทอดสดมากกว่าช่องอื่นๆ มันไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรเลย
ถ้าหาก กองทุน กทปส. ออกเงินให้หมดเลย 1,200 ล้าน นั่นว่าไปอย่าง นั่นถึงควรจะหารเฉลี่ยเท่ากันหมดทุกช่อง
4. สุดท้าย ไม่ว่าตารางการถ่ายทอดสดจะเป็นอย่างไร ช่องใดจะได้ถ่ายทอดคู่ไหน แต่คนไทยก็ได้ดูฟรีผ่านทีวีดิจิทัล
ร้านอาหาร สถานบริการบันเทิง โรงแรม ที่พักในประเทศ ฯลฯ สามารถเปิดให้ลูกค้าดูกันผ่านจอทีวี โดยไม่ต้องเสียเงินค่าลิขสิทธิ์ (เพราะมีคนไปจ่ายแทนแล้ว ตามข้างต้น)
นับว่าเป็นผลดีต่อบรรยากาศทางธุรกิจ และกระตุ้นเศรษฐกิจการบริโภคในภาพรวมไปด้วย
ขอให้มีความสุขกับการดูมหกรรมกีฬาที่รวมนักกีฬาซูเปอร์สตาร์แห่งยุค ที่ 4 ปี มีให้ดูกันครั้ง แบบไม่ต้องปนดราม่ากันอีกเถอะ เจ้าประคุณ
สันติสุข มะโรงศรี