เมซุต โอซิล คือหนึ่งในนักฟุตบอลระดับโลกจากทศวรรษที่ผ่านมา ความสำเร็จมากมายในฐานะแชมป์ฟุตบอลโลก กับทีมชาติเยอรมัน รวมถึงการเล่นให้กับสโมสรชั้นนำ ทั้ง เรอัล มาดริด และ อาร์เซนอล แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเขาเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ด้วยวัยเพียง 32 ปี โอซิลกลับต้องย้ายไปเล่นในลีกตุรกี กับ เฟเนร์บาห์เช ทั้งที่ฝีเท้าของเขายังคงเล่นในลีกชั้นนำของยุโรปได้แบบสบาย ๆ
การตัดสินใจย้ายทีมในครั้งนี้ของโอซิล ไม่ได้เป็นเพราะเขาพิศวาสฟุตบอลแดนไก่งวงแต่อย่างใด แต่เรื่องราวทางการเมืองมากมายที่วนรอบตัวเขาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ได้พาให้แข้งมหัศจรรย์รายนี้ ต้องพาตัวเองไปวาดลวดลายที่ตุรกี แทนที่จะเป็นลีกระดับท็อปของโลก
เริ่มต้นจากปัญหาการเมือง
เรื่องราวทั้งหมด เริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2018 ที่ เมซุต โอซิล พร้อมทั้งเพื่อนนักฟุตบอลอีกสองราย ได้แก่ อิลคาย กุนโดกาน และ เซงค์ โตซุน เข้าพบ เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีของประเทศตุรกี ที่ชนะการเลือกตั้ง ได้รับตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 เพื่อมอบเสื้อฟุตบอลของทั้งสามคน ให้เป็นของที่ระลึก
แอร์โดอัน ณ เวลานั้น กำลังถูกจับตาอย่างมากโดยโลกตะวันตก กับการใช้อำนาจทางการเมืองแบบผิด ๆ ผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จไว้กับตัวเอง รวมถึงมักปราบปรามผู้ที่เห็นต่าง ด้วยการใช้กำลังตำรวจ หรือ ทหาร จนนำมาซึ่งการบาดเจ็บ เสียชีวิตของประชาชนอยู่เสมอ รวมถึงเป็นพวกปลุกแนวคิดเหยียดเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เช่น โจมตีกลุ่มคนเพศทางเลือก และโจมตีคนเชื้อสายยิวผ่านสื่ออยู่บ่อยครั้ง
การพูดว่า แอร์โดอันคือผู้นำการเมืองที่ฝั่งโลกเสรีชังคงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะชาติจากยุโรปตะวันตก ที่มีอุดมการณ์ขั้วตรงข้าม กับประธานาธิบดีชาวตุรกีโดยสิ้นเชิง และ ประเทศเยอรมัน คือหนึ่งในหัวหอกสำคัญ ที่ต่อต้านผู้นำรายนี้
เมืองเบียร์มีบทเรียนที่เจ็บปวด กับการมีผู้นำฝ่ายขวาบ้าอำนาจ ในลักษณะเดียวกับแอร์โดอัน นั่นคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ทำให้ชาวเยอรมันจำนวนไม่น้อย ต่อต้านนักการเมืองรายนี้สุดขาดใจ และพร้อมจะไม่ญาติดีกับใครก็ตาม ที่แสดงตัวสนับสนุนแอร์โดอัน
การที่โอซิล เข้าพบกับแอร์โดอัน จึงเป็นเหมือนการหักอกชาวเยอรมันทั้งประเทศ ในฐานะที่เป็นฮีโร่ของทีมชาติเยอรมัน แข้งรายนี้ควรจะเข้าใจความหมายของสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองเบียร์ให้ความสำคัญ ไม่ใช่ไปยืนมอบเสื้อ ให้กับผู้นำที่สั่งฆ่าผู้เห็นต่างทางการเมืองไปหลายสิบราย
แม้โอซิลจะยืนยันว่า การที่เขาไปมอบเสื้อให้แอร์โดอัน ไม่มีเหตุผลทางการเมือง การไปแสดงความยินดีกับผู้นำตุรกี ไม่มีอะไรกับมากไปกว่า ทำไปตามพิธี ในฐานะที่เขาเป็นคนที่มีเชื้อสายเติร์กไหลเวียนอยู่ในตัว
อย่างไรก็ตาม ไรน์ฮาร์ด กรินเดิล ประธานของสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน หรือ เดเอฟเบ (DFB) ได้ออกมาโจมตีการกระทำของโอซิล รวมถึง อิลคาย กุนโดกาน สองแข้งทีมชาติเยอรมัน
โดยให้เหตุผลว่า ประธานาธิบดีของตุรกีได้ทำเรื่องราวอันเลวร้ายมากมาย ที่ขัดกับศีลธรรมอันดี ที่คนเยอรมัน รวมถึงวงการฟุตบอลยึดถือ ดังนั้น การไปแสดงความยินดี ที่แอร์โดอันได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
ไม่ใช่แค่ประธานเดเอฟเบ ที่โจมตีโอซิล และกุนโดกาน แต่รวมถึงสื่อมวลชน และชาวเยอรมัน ได้สาปส่งแข้งทั้งสองรายเป็นจำนวนมาก เพราะในสายตาของคนเมืองเบียร์ แอร์โดอันคือผู้นำเผด็จการ (ซ่อนรูป) ตัวพ่อ ที่พวกเขารังเกียจมากที่สุด
แฟนบอลทีมชาติเยอรมันจำนวนมาก เรียกร้องให้ DFB ถอดถอนรายชื่อนักเตะทั้งสองคน ออกจากลิสต์นักเตะที่จะไปลุยฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งถูกประกาศมาก่อนหน้านี้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัญหาระดับชาติอย่างเต็มตัว เนื่องจาก แฟรงก์-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีเยอรมัน ต้องการเรียกนักเตะทั้งสองรายเข้ามาพูดคุยเป็นการส่วนตัว
เพราะอยากจะสอบถามว่า โอซิล และ กุนโดกาน จะเลือกข้างเป็นเยอรมนีที่ฝักใฝ่ประชาธิปไตย หรือตุรกีภายใต้ผู้นำเผด็จการ ?
แม้แต่นักการเมืองฝ่ายขวาของเยอรมนี ยังไม่ปกป้องนักเตะทั้งสองราย ด้วยการตั้งคำถามว่า ถ้าไปดีใจกับแอร์โดอัน กับการเป็นผู้นำตุรกี จะมาเล่นฟุตบอลในสีเสื้ออินทรีเหล็กเพื่ออะไร ทำไมไม่ไปเล่นให้ขุนพลเติร์ก ถ้าใจฝักใฝ่ฝั่งนั้น
โอซิล ไม่ใช่ เยอรมัน?
เรื่องราวเหมือนจะจบลงด้วยดี ทั้งโอซิล และกุนโดกาน ยืนยันว่า เยอรมนีคือประเทศของพวกเขา และจะเป็นนักฟุตบอลที่แสดงความเป็นตัวแทนของชนชาติเยอรมัน เพียงประเทศเดียวเท่านั้น
โอซิล และ กุนโดกาน ได้แพ็คกระเป๋า ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย โดยไม่มีเรื่องราววุ่นวายตามมา แต่แทนที่ทุกอย่างจะดีขึ้น กลายเป็นเลวร้ายกว่าเดิม เพราะทัพอินทรีเหล็กที่มีดีกรีแชมป์เก่าคล้องคออยู่ กลับกระเด็นตกรอบแรก ทั้งที่มีเพื่อนร่วมกลุ่มสุดหมู ไม่ว่าจะเป็น เม็กซิโก, สวีเดน และเกาหลีใต้
ด้วยผลงานที่ย่ำแย่ ทำให้ชาวเยอรมันย่อมต้องการหาแพะไว้ระบายอารมณ์ ซึ่งหวยหนีไม่พ้นไปตกกับโอซิล ที่คนเมืองเบียร์ตั้งแง่กับเขา ถึงความทุ่มเทในเสื้ออินทรีเหล็ก ตั้งแต่ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้น
แม้ในความเป็นจริง โอซิลจะเป็นนักบอลของเยอรมันที่สร้างโอกาสทำประตูได้มากที่สุดต่อเกม ในฟุตบอลโลก 2018 แต่สถิติไม่ได้ช่วยลดความเกลียดชังที่เขาได้รับจากเพื่อนร่วมชาติแม้ต่อน้อย เขากลายเป็นแพะอันดับหนึ่ง กับการเป็นสาเหตุที่ทำให้อดีตแชมป์โลก พังพาบตั้งแต่รอบแรกในศึกฟุตบอลโลก 2018
สุดท้ายโอซิลทนกับเสียงโจมตีข้างเดียวไม่ไหว เขาออกมาทิ้งระเบิดก้อนใหญ่ ด้วยการประกาศเลิกเล่นทีมชาติเยอรมัน พร้อมกับเผยถึงความในใจว่า สุดท้ายคนเยอรมันยังคงมองเขาเป็นแค่ผู้อพยพ แทนที่จะเป็นเพื่อนร่วมชาติ ที่มีแผ่นดินเกิดเดียวกัน
“ในสายตาของกรินเดิล (ประธานเดเอฟเบ) และแฟนบอลทุกคน เมื่อทีมชนะ ผมคือคนเยอรมัน แต่เมื่อทีมแพ้ ผมเป็นแค่ผู้อพยพ”
“ผมรู้สึกว่า ไม่มีใครต้องการผมอีกต่อไป สิ่งที่ผมทำให้เยอรมนี ในฐานะนักเตะทีมชาติตั้งแต่ปี 2009 ถูกลืมไปจนหมดสิ้น”
“ทั้งที่ผมจ่ายภาษีให้เยอรมัน บริจาคเงินพัฒนาโรงเรียนในเยอรมันตั้งมากมาย ผมคว้าแชมป์โลกให้กับประเทศ แต่สังคมกลับไม่ยอมรับผม ทำเหมือนกับผมเป็นคนอื่นในสังคม”
“ผมรับไม่ได้กับการที่สื่อโจมตีว่า ผมทำให้ทีมตกรอบ ผมรับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เพราะพวกเขาไม่ได้โจมตีที่ผลงานของผม พวกเขาเล่นงานเพราะผม เพราะผมมีเชื้อสายตุรกี”
“พวกเขาล้ำเส้นความรู้สึกส่วนตัวของผมเข้ามามากเกินไป และพวกเขาไม่ควรทำแบบนั้น ผมให้ความเคารพรากเหง้าของผมเสมอ แต่หนังสือพิมพ์กำลังทำให้ประเทศเยอรมนีเป็นศัตรูกับผม”
นี่คือข้อความบางส่วน จากแถลงการณ์เลิกเล่นทีมชาติเยอรมนีของโอซิล หลายประโยคที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เสียใจ ไปจนถึงโกรธแค้น ที่เขาถูกเพื่อนร่วมชาติรุมทำร้ายอย่างไม่ใยดี
การเลิกเล่นทีมชาติของเยอรมนีของแข้งเชื้อสายตุรกีรายนี้ จึงไม่ได้เป็นการยุติเพื่อรับผิดชอบผลงานที่ย่ำแย่ หรือหมดไฟกับการรับใช้ชาติ แต่เป็นเพราะชายที่ชื่อ เมซุต โอซิล ไม่หลงเหลือความรู้สึกในฐานะคนเยอรมันอีกต่อไป
ไม่มีที่ยืนในลีกใหญ่
นอกจากเลือกยืนอยู่ตรงข้ามกับประเทศบ้านเกิด โอซิลต้องเจอกับปัญหาทางการเมืองที่ตามเขามาหลังจากนั้น เพียงแต่คราวนี้เปลี่ยนศัตรูไปเป็นประเทศจีน ชาติมหาอำนาจจากฝั่งเอเชีย
ช่วงปลายปี 2019 โอซิลได้บริจาคเงินให้กับแคมป์อพยพ ช่วยเหลือชาวอุยกูร์ หรือกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลามในประเทศจีน ที่ถูกรัฐบาลจีนไล่ปราบปรามอย่างหนัก ร่วมถึงปลุกระดมให้ชาวมุสลิมทั่วโลก ต่อต้านการกระทำของผู้มีอำนาจในแดนมังกร ที่คอยไล่ที่ เผาบ้าน เผาทรัพย์สินของชาวอุยกูร์ รวมถึงการจับกุม และทำให้เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม การโจมตีรัฐบาลจีน เท่ากับการประกาศเป็นศัตรู เพียงเวลาอันสั้น จีนได้ทำการถอดโปรแกรมการถ่ายทอดเกมการแข่งขันของอาร์เซนอล ต้นสังกัดของโอซิลในเวลานั้นออกจนหมดเกลี้ยง
โอซิลกลายเป็นฮีโร่ของชาวอุยกูร์ แต่สำหรับชาวจีน เขาคือวายร้ายที่ทุกคนไม่อยากเห็นหน้า อาร์เซนอลไม่มีทางเลือก นอกจากตัดสินใจตัดชื่อโอซิลออกจากการแข่งขันทุกรายการ ไม่ส่งเขาลงสนาม เพราะไม่ต้องการเสียจีน ซึ่งเป็นตลาดทำเงินขนาดใหญ่ของสโมสร
“นี่คือวันที่แสนเศร้า เพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ กลายเป็นเรื่องสำคัญกว่าเสรีภาพในการแสดงความเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน” แฟนบอลทัพปืนใหญ่รายหนึ่ง แสดงความเห็นผ่าน The Athletic
โอซิลต้องยอมจ่ายอนาคตในวงการฟุตบอลของตัวเอง เพื่อแลกกับการเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้อง ฝีเท้าชั้นเลิศของเขาหมดสิทธิ์ที่จะได้วาดลวดลาย เพียงเพราะการถามหาความเป็นธรรมให้กับคนเพียงกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกรังแกจากการใช้อำนาจในทางที่ผิด
แน่นอนว่า หากอาร์เซนอลไม่ใช้งานโอซิล เขาก็มีสิทธิ์ที่จะย้ายไปเล่นให้กับสโมสรอื่น แต่ไม่มีสโมสรในลีกยักษ์ใหญ่ทีมไหน กล้าเซ็นสัญญาแข้งรายนี้ไปร่วมทีม เพราะไม่ต้องการจะประกาศสงครามกับจีน ด้วยดึงตัวนักเตะอันเป็นที่ชังของแดนมังกรมาร่วมทีม
จะมีก็แต่บางสโมสรในเยอรมัน ที่ออกตัวต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีน แต่ตัวของโอซิลได้ประกาศแตกหัก กับแผ่นดินบ้านเกิดไปแล้ว เท่ากับว่าเขาไม่มีที่ไปในลีกใหญ่โดยสมบูรณ์
เมื่อหมดหนทางให้เดินต่อ โอซิลจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกลับบ้าน อันหมายถึง “บ้าน” ที่แท้จริงของเขา นั่นคือประเทศตุรกี
ตุรกี นัมเบอร์วัน
หลังจากโอซิลตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า เขาจะอำลาอาร์เซนอล ในเดือนมกราคม ปี 2021 แข้งจากเมืองเกียร์เซนเคียร์เชน มีทางเลือกแค่ 2 ทางเท่านั้น หนึ่งคือย้ายไปเล่นที่ตุรกี สองคือบินข้ามโลกไปที่สหรัฐอเมริกา
แม้ว่า อังกฤษ, เยอรมนี, สเปน, อิตาลี, ฝรั่งเศส รวมถึงจีน จะไม่ต้องการโอซิล แต่ตุรกียังคงเปิดกว้างต้อนรับชายผู้พลัดถิ่นฐาน กลับสู่บ้านเกิดที่แท้จริงเสมอ
ขณะที่สหรัฐอเมริกา ยึดหลัก “ศัตรูของศัตรูคือมิตรของเรา” เมื่อโอซิลเป็นศัตรูกับจีนอย่างชัดเจน พวกเขาพร้อมจะเปิดประตูต้อนรับให้นักเตะรายนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมแห่งเสรีภาพ
โอซิลถึงกับออกปากว่า เขาสนใจที่ย้ายไปเล่น ทั้งตุรกี และสหรัฐอเมริกา พร้อมกับให้คำมั่นว่า หลังจากนี้เขาจะเล่นฟุตบอล ในดินแดนของสองชาตินี้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แผ่นดินยูเอสเอ คือสิ่งที่โอซิลขอเก็บไว้ก่อน เพราะเขาตัดสินใจเซ็นสัญญา เป็นนักเตะรายใหม่ของสโมสร เฟเนร์บาห์เช ทีมฟุตบอลที่มีความผูกพันกับต้นตระกูลของเขามาอย่างยาวนาน
“เฟเนห์บาร์เชคือทีมของผมมาตั้งแต่วัยเด็ก นี่คือสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตุรกี” โอซิลให้เหตุผลที่เขาย้ายมาเล่นกับทีมดังของแดนไก่งวง
การตามความฝันคือเหตุผลที่โอซิลอ้างถึงการมาเล่นที่ตุรกี แต่ทุกคนรู้ดีว่า การย้ายทีมในครั้งนี้มีความหมายมากกว่านั้น เพราะนี่คือการแสดงให้เห็นว่า ตุรกีคือบ้านที่พร้อมจะอ้อมกอด เมซุต โอซิล ต่อให้โลกทั้งใบไม่รักเขา ผู้คนที่นี่พร้อมจะยอมรับเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างเต็มใจ ต่อให้แข้งพรสวรรค์รายนี้จะไม่เคยเล่นให้ทีมชาติตุรกี แม้แต่นัดเดียว
“นี่คือเรื่องราวที่วิเศษสำหรับชาวตุรกี และโอซิล เพราะเขาแสดงให้เห็นว่า เขาคือตุรกี เขามีความเชื่อมโยงกับตุรกี”
“ต้องยอมรับว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขา กับเยอรมนี พังลงไปไม่น้อย พวกเขาทำผิดพลาดที่เปลี่ยนเรื่องทั้งหมด ไปเป็นประเด็นการเหยียดเชื้อชาติ” ฮูเยซิน ออซค็อก นักข่าวชาวตุรกี กล่าว
เรื่องราวของโอซิล มาไกลถึงทุกวันนี้ เพราะปัญหาทางการเมือง แต่ถามว่าเขามีสิทธิ์เลือกได้หรือไม่ ที่จะไม่เอาตัวเองเข้ามายุ่งกับเรื่องวุ่นวายพวกนี้ ?
ที่สุดแล้ว ก็คงเป็นไปดังคำกล่าวที่ว่า “การเมืองมีอยู่ทุกที่” เพราะต่อให้โอซิลพยายามวิ่งหนีประเด็นเหล่านี้ เขาก็ไม่สามารถหนีได้พ้นอยู่ดี
“ที่ตุรกี นักการเมืองชอบไปยุ่งกับคนดังเสมอ คนแบบ เมซุต โอซิล นี่แหละ เพราะพวกเขาต้องการใช้ประโยชน์จากกลุ่มเซเลป หนึ่งในนั้นก็คือแอร์โดอัน” ฮูเยซิน ออซค็อก นักข่าวชาวตุรกี เล่าถึงโชคชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของ โอซิล
สุดท้ายแล้ว โอซิลยอมรับความจริงที่ว่า เขาไม่สามารถหนีเรื่องวุ่น ๆ จากปัญหาทางการเมืองได้ เขากลายเป็นเพื่อนสนิท กับแอร์โดอัน และได้ประธานาธิบดีรายนี้ มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ในงานแต่งงานของเขา เมื่อปี 2019
การย้ายไปเล่นฟุตบอลในตุรกีของโอซิล จึงเต็มไปด้วยแรงจูงใจทางการเมือง มากกว่าเรื่องของฟุตบอล ถึงกระนั้น นี่อาจเป็นทางเลือกเดียว ที่เขาจะได้กลับมาลงสนาม และมีความสุขกับเกมลูกหนังอีกครั้ง