ทางวิบากของ”ช้างศึก”ดูเหมือน”เอเอฟซี” จะทำให้”ไทย”ตกรอบ – บทความฟุตบอลไทย

หลังจากรอคอยกันมานาน ในที่สุดสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี ออกมายืนยันโปรแกรมฟุตบอลบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก รอบสอง กลุ่ม จี จะแข่งขันที่สนามกลางประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในเดือนมิถุนายนนี้

 กลุ่ม จี อันประกอบด้วย เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ และ ไทย

 ก่อนการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” การแข่งขันใช้ระบบเหย้า-เยือน แต่ละทีมต้องแข่งขันรวม 8 นัด เพื่อคัดเอาอันดับ 1 และ 2 เข้ารอบต่อไป แต่การแข่งขันจบลงเพียงนัดที่ 5 มีเพียง “ยูเออี” ทีมเดียวเท่านั้นที่จบ 4 นัดก็พบกับสถานการณ์โรคระบาด

 การแข่งขันยุติกลางคัน โดยมี “ดาวทอง” เวียดนาม เป็นจ่าฝูง เป็นทีมเดียวที่ไม่แพ้ใครมี 11 คะแนน รองลงมาคือ มาเลเซีย 9 คะแนน โดย ไทย เป็นอันดับ 3 ตามมาที่ 8 คะแนน อันดับ 4 ที่แข่งน้อยกว่าใคร สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ 6 แต้ม

 มีเพียงทีมเดียวที่แพ้รวดมี 0 คะแนน คือ อินโดนีเซีย

 จากสถานการณ์ของคะแนน เห็นได้ว่าในช่วง 3 นัดที่เหลือเป็นอย่างน้อย คะแนนของ 4 ทีม ข้างต้นสามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา โอกาสในการเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 ณ ประเทศกาตาร์ ครั้งแรกบนแผ่นดินอาหรับ ยังเปิดกว้าง

 แต่เนื่องด้วย “โควิด-19” ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี  จึงหาทางออกด้วยการให้แข่งขันสนามกลาง แทนการเตะแบบเหย้าเยือน พร้อมเปิดโอกาสให้ชาติในกลุ่ม จี เสนอตัว

 แน่นอนว่า ประเทศไทย ที่ยังมีโอกาสลุ้นไม่พลาดที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในฐานะสนามกลาง ในขณะที่ มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกเนื่องจากสถานการณ์โควิด รวมถึงการยอมรับกลายๆ ว่า ไม่มีลุ้น

 สำหรับ เวียดนาม เองถือว่าลอยตัว และไม่จำเป็นต้องเอางบประมาณมาทิ้ง จึงไม่มีท่าทีว่าจะสนใจ คู่แข่ง 3 ทีม จึงตัดทิ้งไปเหลือเพียง “ยูเออี” หรือ สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์

This image is not belong to us

 “ยูเออี” นิ่งอยู่นาน และก็ตามคาดออกมาเสนอตัว เมื่ออังคารที่ 9 มีนาคม สมาคมฟุตบอลแห่งยูเออี หรือ UAEFA แห่งประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์  ยื่นเรื่องต่อ เอเอฟซี  พร้อมเสนอจะใช้ในการแข่งขัน 2 สนามในนครดูไบ คือ ซาบีล สเตเดี้ยม (zabeel Stadium)ความจุ 8,500 ที่นั่ง และสนาม อัล มัคทูม สเตเดี้ยม (Al Maktoum Stadium)ความจุ 15,000 ที่นั่ง

 ไม่ต้องถามถึงความพร้อม เพราะทั้ง 2 สนาม ก่อสร้างและปรับปรุงใหม่และใช้ในการแข่งขันฟุตบอลเอเชี่ยน คัพ ในการเป็นเจ้าภาพครั้งล่าสุด

 เอเอฟซี รับเรื่อง โดยกำหนดเดิมจะประกาศชาติที่เป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม

  แต่รวดเร็วกว่านั้น เมื่อเสาร์ที่ 12 มีนาคม ไม่ปล่อยให้รอนาน สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี แถลงยืนยันโปรแกรมฟุตบอลบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก รอบสอง กลุ่ม จี จะแข่งขันที่สนามกลาง ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในเดือนมิถุนายนนี้ 

 ปาดหน้า ไทย ไปตามคาด สำหรับโปรแกรมการแข่งขันที่มีการยืนยันล่าสุด มีดังนี้ วันที่ 3 มิ.ย. ไทย พบ อินโดนีเซีย, ยูเออี พบ มาเลเซีย วันที่ 7 มิ.ย. อินโดนีเซีย พบ เวียดนาม, ไทย พบ ยูเออี วันที่ 11 มิ.ย. อินโดนีเซีย พบ ยูเออี, มาเลเซีย พบ เวียดนาม และ วันที่ 15 มิ.ย. เวียดนาม พบ ยูเออี และ มาเลเซีย พบ ไทย

 ส่วนสนามแข่งขัน ต้องรอเจ้าภาพ ประกาศออกมาอีกครั้ง ถึงตอนนี้ทำให้ ความหวังของ “ช้างศึก” ในการเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก ต้องเหนื่อยหนัก และเรียกได้ว่ายากเป็นสองเท่า

 ในเกมพบ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ถือว่าอยู่ในวิสัยนัดละ 3 คะแนน แต่การเจอเจ้าภาพ “ยูเออี” ต้องยอมรับว่า แต้มเดียวก็ลำบาก

This image is not belong to us

 ไม่เพียงแต่เชิงลูกหนังที่ต้องรับมือ ยังมีเรื่องของ “ผู้ตัดสิน” ที่ไทยเราไม่เคยได้เปรียบ หากเป็นกรรมการจากถิ่นตะวันออกกลาง

 ตัวอย่างในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2563 ในเกมที่ทีมชาติไทย พบกับ ซาอุดีอาระเบีย ในรายการ U23 ชิงแชมป์เอเชีย ในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยมี “อาเหม็ด อาบู อัลคาฟ” ผู้ตัดสินชาวโอมานลงทำหน้าที่  ทีมไทยสู้กับเศรษฐีน้ำมันอย่างสูสี และมีโอกาสได้ประตูชัยอยู่หลายจังหวะ

 เกมเหลือราว 10 นาที ไทย ต้องเสียลูกจุดโทษปริศนา ทั้งที่ผู้ตัดสินชาวโอมานเป่าให้เราเสียฟาว์ลเมื่อไปดึงแนวรุกของซาอุนอกเขต นักเตะไทยไปยืนเป็นกำแพง แต่ “อาเหม็ด อาบู อัลคาฟ” กลับคำตัดสิน อ้างรับข้อมูลจาก VAR ให้จังหวะนั้นเป็นจุดโทษ

 ผลก็คือ ไทย ถูกปล้นชัยพ่ายให้กับ ซาอุดิอาระเบีย ไป 0-1 สมาคมฟุตบอลฯ ยื่นเรื่องประท้วงถึง เอเอฟซี

 การตัดสินเหตุการณ์พลิกดังฟ้ากับเหว คณะอนุญาโตตุลาการ สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย นอกจากปกป้องทีม VAR และกรรมการในสนามว่าทำหน้าที่ถูกต้อง แถมมีคำตัดสินให้ปรับสมาคมฟุตบอลของไทย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 6,250 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 195,947 บาท จากข้อหาที่มีผู้ชมในสนาม ตะโกนด่าคำหยาบใส่กรรมการ

 คำอธิบายจาก เอเอฟซี แบบคลุมเครือกรณีที่ไทยเสียจุดโทษ ทั้งๆที่ภาพจากการถ่ายทอดสดเห็นชัดว่าเราดึงนอกเขต

This image is not belong to us

 เอเอฟซี อ้างกฎของ Laws of the game การที่ผู้เล่นเกมรับดึงเสื้อของผู้เล่นเกมรุก นอกกรอบเขตโทษ หากดึงจนผู้เล่นเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก็จะถือว่าเป็นการทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษได้ และผู้ตัดสินในห้อง VAR ก็มองว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ตรงกับสิ่งที่ Laws of the game ได้ระบุไว้

 ยังมีคำถามว่าทำไม เอเอฟซี ถึงเลือกผู้ตัดสินที่มาจากโซนเดียวกันกับซาอุดิอาระเบีย ลงทำหน้าที่ แถมเป็นผู้ตัดสินจาก โอมาน ประเทศที่สนิทแน่นและมีอาณาเขตติดกับ ซาอุดิอารเบีย

 โดยทาง เอเอฟซี อ้างเป็นไปตามความเหมาะสมของคณะกรรมการผู้ตัดสิน โดยพิจารณาจากความสามารถ และประสบการณ์ในการตัดสิน 

 นั่นคือตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผ่านมา อาจเป็นตัวบ่งชี้ถือการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกอีก 3 นัดสุดท้ายของทีมชาติไทย กับสถานการณ์ที่ต้องชนะทั้ง 3 นัดถึงมีสิทธิ์ลุ้นเข้ารอบ

 เป็นงานยากที่ของ “อากิระ นิชิโนะ” กุนซือทีมชาติไทย

This image is not belong to us

 การคัดเอาสองทีมเข้าสู่รอบต่อไป ในสถานการณ์ที่ลุ้นอยู่ 3 ชาติ คือ เวียดนาม ไทย และ ยูเออี ถือว่าหนักหนาสาหัส

 หากจะมองหาทีมที่ได้เปรียบ มีโอกาสสุดน่าจะเป็น “เวียดนาม” ในการนำจ่าฝูงของกลุ่ม จี ด้วยคะแนน 11 แต้ม เหลืออีก 3 นัด หากเก็บ 6 แต้ม ก็ไม่ต้องสนใจอะไร

 “ปาร์ค ฮัง ซอ” กุนซือชาวโสมของทีมชาติเวียดนาม ออกมาตั้งเป้า 3 แต้มจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ส่วนการเจอ “ยูเออี” แม้จะมือเปล่าวแต่ก็ไม่มีผลในการเข้ารอบ

 ในส่วน “ยูเออี” เจ้าภาพที่เหลือเกมในมือมากกว่าทีมใด ในจำนวน 4 นัด สถานการณ์ในอันดับสามมี 6 แต้ม หากชนะในเกมที่เหลือบวกอีก 12 นอกเหนือจะเข้ารอบแล้ว ยังสามารถเป็นแชมป์กลุ่มได้ด้วยซ้ำ

 ต่างกับไทย แม้มี 8 แต้ม แต่ก็ต้องชนะรวดเช่นกัน โดยวันที่ 3 มิ.ย. ไทย พบ อินโดนีเซีย วันที่ 7 มิ.ย. ไทย พบ ยูเออี และ วันที่ 15 มิ.ย. มาเลเซีย พบ ไทย

 การเจอกับสองทีมจากอาเซี่ยน ทั้ง มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ศักยภาพของ ไทย เวลานี้เหนือกว่าแน่ แต่การพบเจ้าบ้าน “ยูเออี” ที่ไทยต้องชนะสถานเดียวต้องยอมรับว่า “มีทาง” แต่ความเป็นไปได้น้อยกว่าการพบกับสองทีมเพื่อนบ้าน

 การเล่นในตะวันออกกลาง กับเกมเจ้าบ้านที่ต้องการแต้ม แถมการยกตำแหน่งเจ้าภาพให้จาก “เอเอฟซี” ล้วนเอื้อให้ “ยูเออี”

 หากไทยต้องตกรอบก็ต้องยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หากผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้

 นั่นเป็นเพราะว่า “ช้างศึก” แข็งแกร่งและไม่ต้องกลัวชาติไหนอีกต่อไป