3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง – สยามกีฬา


3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

ศึกพรีเมียร์ลีก 2021-22 กำลังเมามันเลยทีเดียวก็มีอันต้องเว้นวรรคให้ทีมชาติทำศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกซะงั้น

    สำหรับสงครามแข้งพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ แม้นเส้นทางจะยังเหลืออีกยาวไกลเกินกว่าจะบอกได้ว่าตอนจบจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ช่วงเบรคทีมชาติอันน่าเบื่อแบบนี้ 

    ผมขอผ่าฟอร์มของตัวเต็งทั้ง 4 ทีมที่ประกอบไปด้วย แมนฯ ซิตี้, เชลซี, ลิเวอร์พูล และแมนฯ ยูไนเต็ด แบบพอสังเขป

    

     แมนฯ ซิตี้ 

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    ในฐานะเต็งหนึ่งและเต็งจ๋าแบบ “นอนมา” ทีมเรือใบสีฟ้าดันพลาดท่าพ่ายแพ้ตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลซะอย่างนั้น ย้อนกลับไปในการพ่ายศึกที่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม – แมนฯ ซิตี้ โชว์ฟอร์มไม่ค่อยไฉไลสักเท่าไหร่

    ส่วนหนึ่งด้วยตัวผู้เล่นที่ยังไม่ใช่ชุดใหญ่แบบเต็มอัตราศึก 

    กระนั้นพวกพี่ๆ เขายังอุตส่าห์บุกกระหน่ำใส่เจ้าถิ่นอยู่ข้างเดียวพลางโอกาสทำลายตาข่ายมากมาย แต่กลับเอามันไปโยนทิ้งลงโถส้วมทั้งหมด

    สุดท้ายจึงถูกลงโทษอย่างสาสมจนพังพาบตั้งแต่นัดเปิดสนาม

    ปัญหาชัดเจนว่าอยู่ที่จังหวะจบไม่เด็ดขาด แต่มันก็เป็นปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหา เพราะสถิติเกมรุกของพวกเขามีประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับหนึ่งของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่แล้ว

    ดังนั้นการทำประตูไม่ได้ในเกมแรกจึงน่าจะเรียกว่าเป็น “อุบัติเหตุ” ซะมากกว่า มันไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก เพราะค่าเฉลี่ยต่อ 1 เกม นอกจากจะครองบอลมากกว่าคู่แข่งระดับ 70-30 แมนฯ ซิตี้ ยังมีโอกาสทำประตูเป็นสิบๆ ครั้ง

นัดต่อมาที่เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ นอริช

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    แมนฯ ซิตี้ จึงระบายความอัดอั้นตันตูดออกมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด ตามมาด้วยการชำเราปืนโตในเกมล่าสุดอีก 5 ดอก

    2 นัดล่าสุด แมนฯ ซิตี้ กดไปทั้งหมด 10 ดอก เป็นการยืนยันหนักแน่นว่าเกมรุกของพวกเขายังน่าสยดสยองเหมือนเดิมนั่นแหละ

    ขอโทษ…นี่ขนาด เควิน เดอ บรอยน์ ยังไม่ได้ลงสนามนะครับเนี่ย

    เวลาเล่นเกมรุก ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เหมือนมีแนวรุกเรียงกันเป็นหน้ากระดานถึง 5 คน 

    เฟอร์ราน ตอร์เรส คือหมายเลข 9 ตัวหลอก ขนาบข้างด้วย แจ็ค กรีลิช กับตำแหน่งหน้าขวาที่สลับกันทั้ง กาเบรียล เชซุส และริยาด มาห์เรซ

    เท่านั้นไม่พอจะมิดฟิลด์ตัวรุกอีก 2 คนจะคอยสอดขึ้นมาทำหน้าที่เหมือนเป็นกองหน้าทั้ง อิลคาย กุนโดกัน และ แบร์นาโด้ ซิลวา รวมถึง ราฮีม สเตอร์ลิง

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    ฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้างก็เติมขึ้นสูงมาเล่นเกมรุกเหมือนปีก โดยสามารถจัดทีมได้แบบไม่ตายตัว และสามารถสลับกันลงอย่างไม่เหลื่อมล้ำ เพราะคุณภาพผู้เล่นพอๆ กันทั้งทีม 

    แม้ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกจะบันทึกว่าทีมที่แพ้ตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลแล้วสุดท้ายพุ่งทะยานเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งมีแค่ทีมเดียวเท่านั้นคือ แมนฯ ยูไนเต็ด (ในฤดูกาล 1992-93, 1995-96 และ 2012-13)

    แต่หากว่ากันด้วยเหตุผลของฟุตบอลแบบเพียวๆ 

    แมนฯ ซิตี้ แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าพวกเขายังคงเป็น “เต็งหนึ่ง”

 

     เชลซี 

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    2 นัดแรก “สิงห์บลูส์” ใช้คุณภาพผู้เล่นทีเหนือกว่าเอาชนะคู่แข่งแบบไม่ระบมหัวแม่ตีน

    นัดแรกที่อัด คริสตัล พาเลซ 3-0 พวกเขาไม่ได้เร่งเครื่องบดขยี้อะไรมากมาย ซึ่งหากเน้นกันมากกว่านี้ก็น่าจะกระหน่ำได้มากกว่า 3 ดอก

    นัดต่อมาอัดคู่แข่งในวรรณะใกล้เคียงกันอย่าง อาร์เซน่อล ไปแบบเบาะๆ โดยศูนย์หน้าตัวใหม่อย่าง โรเมลู ลูกากู ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้นก็กระทุ้งประตูแรกให้ตัวเองในเครื่องแบบสิงห์น้ำเงินได้สำมะเร็จ

    ชัยชนะใน 2 เกมแรก ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่เหนือกว่าคู่แข่งอยู่แล้ว กระทั่งการศึกระดับอภิพญามหายุทธ์ในนัดล่าสุดที่ แอนฟิลด์

    โธมัส ทูเคิ่ล แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการวางแผนและแก้เกมที่คับตูดยิ่งนัก เกมแพลนของ เชลซี คือการเล่นอย่างรัดกุมบนความระมัดระวัง 

    รูปเกมเป็นรอง แต่ชิงจังหวะขึ้นนำก่อนได้สำเร็จจากการเล่นลูกตั้งเตะที่ซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี กระทั่งเหลือตัวผู้เล่นแค่ 10 คน ตลอด 45 นาทีหลัง

    เมื่อวิงแบ็คขวาอย่าง รีซ เจมส์ ถูกใบแดงตะเพิดออกไป กุนซือสิงห์บลูส์เลือกที่จะเปลี่ยนตัวรุกอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์ ออกแล้วส่ง ติอาโก้ ซิลวา ลงมายืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คแทนที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ถูกขยับออกไปเป็น “วิงแบ็คขวา”

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    เมสัน เมาต์ ถูกขยับเข้าข้างในมาช่วยเกมตรงกลางพลางทิ้ง “พี่ตู้” เป็นหัวหอกเอาไว้ 

    เวลาสวนกลับจะให้ “วิงแบ็คซ้าย” อย่าง มาร์กอส อลอนโซ่ เติมขึ้นไปเล่นเกมรุกแบบสุดซอย ขณะที่ “อัซปิ๊” จะไม่ขึ้นสูงมากนักพลางหุบจากขวาเข้ามาเป็นเซ็นเตอร์แบ็คอีกคนยามที่วิงแบ็คซ้ายขึ้นไปข้างบนแล้วลงมาไม่ทัน 

    สถานการณ์บังคับให้ เชลซี ต้องเล่นแบบ “พาร์ค เดอะ บัส” อย่างมีวินัยชนิดที่ต่อเวลาออกไปอีก 30 นาที หงส์แดงก็ไม่น่าจะหาทางเจาะเข้ามาทำประตูได้

    แม้จะได้ 1 แต้มเท่ากันก็จริง แต่ในความรู้สึกแต้มของ เชลซี เป็นแต้มใหญ่และมีคุณค่ามากกว่า

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    การเข้ามาของ โรเมลู ลูกากู เป็นการเกาถูกที่คันดีนักแล เพราะจะช่วยให้ เชลซี ได้ประตูมากขึ้นมากกว่าตอนที่มี ติโม แวร์เนอร์ เป็นศูนย์หน้า 

    วัดจากฟอร์มการเล่นใน 3 นัดแรก ถือว่าทำได้ตามมาตรฐาน แถมขนาดของทีมที่ใหญ่และยาวอุดมด้วยผู้เล่นที่มีคุณภาพ

    ว่าแล้วขอบอกว่า เชลซี นี่แหละคือผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งของ แมนฯ ซิตี้  

     ลิเวอร์พูล 

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    3 นัดแรกผ่านไป “เครื่องจักรสีแดงผู้อหังการ” ทำสถิติชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 0 ยิงได้ 6 เสีย 1 สะสมได้ 7 แต้ม

    สิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากทั้ง 3 นัดของ ลิเวอร์พูล คือ เจอร์เก้น คล็อปป์ พยายามค้นหาส่วนผสมในแดนกลางของระบบ 4-3-3 ให้ลงตัวที่สุด

    เกมแรก ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และติอาโก้ อัล คันตาร่า ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ลงสนาม ลิเวอร์พูล ใช้ เจมส์ มิลเนอร์, นาบี เกอิต้า และอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เป็นห้องเครื่อง ฟอร์มการเล่นของ ลิเวอร์พูล ยังไม่ดุดันเท่าที่ควรนะครับ 

    ถึงขนาดนั้นยังอุตส่าห์อัด นอริช ไป 3 ดอกเน้นๆ อืมมมมมม…นะ

    นี่ขนาดเปล่งความดุดันกันออกมาแค่ 70%  ยังเอาชนะคู่แข่งไปได้ด้วยสกอร์ 3-0 แล้วถ้าเกมไหน ลิเวอร์พูล เปล่งความ “เฮฟวี่ เมทั่ล” ของตัวเองออกมาแบบเต็มๆ คู่แข่งไม่ตูดบานเหรอ

    เกมต่อมา กุนซือชาวด๊อยช์ลันด์เปลี่ยนส่วนผสมในแดนกลางอีกครั้งเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, นาบี เกอิต้า และดาวรุ่งดวงใหม่อย่าง ฮาวี่ย์ เอลเลียต 

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    การกลับมาของ “กัปตันเฮนโด้” ช่วยให้เกมของ ลิเวอร์พูล ลื่นไหลมากขึ้นอย่างชัดเจน ก่อนที่จะพิชิต เบิร์นลี่ย์ ไปแบบเบาๆ ด้วยสกอร์ 2-0

    กะซวกตาข่ายได้น้อยกว่านัดแรกก็จริง แต่ฟอร์มการเล่นไฉไลกว่านัดแรกนะครับ-ขอบอก เกมล่าสุดที่ต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี จึงจัดเป็นบทพิสูจน์ตั้งแต่เนิ่นๆ

    เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับขุมกำลังในแดนกลางอีกครั้งเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่ และฮาวี่ย์ เอลเลียตมันน่าเสียดายก็จริงที่ผู้เล่น 11 คนของหงส์แดงยัดเยียดความปราชัยให้ผู้เล่น 10 คนของ เชลซี ไม่สำเร็จ

    แต่ประการหนึ่งเพราะพวกเขาเจอกลยุทธ์โคตรมหาอุดของคู่แข่ง ลิเวอร์พูล เล่นกันได้ดีนะครับ ไม่ใช่ไม่ดี แค่หาทางเจาะไม่เข้าเท่านั้นเอง

    ที่สำคัญคือคู่แข่งที่เสกมนตร์โคตรมหาอุดใส่พวกเขาไม่ใช่ทีมไก่กาไร้ศักดินาที่ไหนเป็นถึงแชมป์ยุโรปเลยทีเดียว นี่แหละเหตุผลใหญ่ที่ไม่ชนะ

    สำหรับปัญหาของน้องหงส์ที่ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมพอมองเห็นคือเรื่องของตัวผู้เล่นที่จะลงมาเปลี่ยนเกม

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    ขณะที่ม้านั่งสำรองของ แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี มีอาวุธหนักให้เลือกใช้ในสภาวะฉุกเฉิน ลิเวอร์พูล กลับมีผู้เล่นบนม้านั่งสำรองที่ไม่รู้ว่าลงมาแล้วจะสามารถสร้างความแตกต่างได้หรือเปล่าอย่าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิต้า และทาคูมิ มินามิโนะ

    อย่างไรก็ตามแม้จะทำหลุดไป 2 แต้มอย่างน่าเสียดาย  ทว่าอย่างน้อยทั้ง 3 เกมที่ผ่านมา มันก็มันแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานของ ลิเวอร์พูล ที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้ง 3 นัด

     แมนฯ ยูไนเต็ด 

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    พลพรรคปีศาจสามง่ามเปิดฉากอย่าง “พญามัจจุราช” ด้วยการระเบิดถังขี้คู่แค้นสำคัญอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด ถึง 5-1 ในนัดเปิดสนาม เกมรุกดุดันและกะซวกไส้ดีนักแลอันบังเกิดจากการต่อบอลอันรวดเร็วและแม่นยำ

    เหนือสิ่งอื่นใดคือการเล่นเกมรุกแบบความกล้าได้และกล้าเสียเหมาะกับสมญา “เรด เดวิลส์” ยิ่งนัก อนิจจา – เพียงแค่เกมต่อมา มาตรฐานของพวกเขากลับตกวูบลงไปอย่างน่าเกลียดน่ากลัวตัวละ 3 บาท

    ปัญหาเดิมๆ วนกลับมาอีกครั้ง คือเมื่อถูกคู่แข่งบดบี้แล้วจี้เข้าหาเร็ว ผู้เล่นพันธุ์อสูรจะออกอาการลนลานแล้วจ่ายบอลกันสะเปะสะปะโดยพลัน

    แดนกลางเมื่อคู่หู “แม็คเฟร็ด” ไม่ได้ลงเล่นคู่กันก็บรรลัย นอกจากนี้ยังไม่มีตัวคุมจังหวะพลางเชื่อมเกมให้ไหลลื่นอีกต่างหาก

    คิดง่ายๆ เชลซี มี จอร์จินโญ่ มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มี มาเตโอ โควาซิซ ลิเวอร์พูล มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ อัล คันตาร่า ที่คอยพักบอล คุมจังหวะ

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    แมนฯ ยูไนเต็ด กลับต้องฝากบอลไว้ที่ เฟร็ด ไอ้เจ๊ตเข้ !!!

    2 เกมล่าสุดที่ทำได้แค่เสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-1 และเฉือนชนะ วูล์ฟส์ 1-0 คุณภาพในการรับ-ส่งบอลค่อนข้างบัดซบและตบชัก แล้วไอ้ความสยดสยองที่เห็นในเกมแรก มันคืออะไร ???

    ในการศึกครั้งล่าสุดที่บุกไปควัก 3 แต้มกลับออกมาจากรังหมาป่า เกมรับมีความเยือกเย็นมากขึ้น

    คนดูบอลแบบเผินๆ แล้วชอบแสดงความเห็นแบบกลัวไม่ได้แสดงความเห็นในโลกโซเชี่ยลมักจะมองตื้นๆ แค่ว่า วูล์ฟส์ พลาดเอง

    ถูกต้องนะครับที่หมาป่ายิงทิ้งยิงขว้างเอาโอกาสอันดีงามของตัวเองไปโยนทิ้งถังขยะ ทว่าถ้าแผงหลังไม่นิ่ง – โอกาสทำประตูของ วูล์ฟส์ ก็จะมากกว่านี้

    มิหนำจังหวะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูชัย หากมองกันแบบเป็นกลาง ผู้ชมทางบ้านอย่างผมคิดว่าถ้าผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกฟาวล์ เด็กผีแบบสุดลิ่มอย่างผมก็คงเถียงไม่ออกจึงอาจบอกได้ว่ามันเป็นชัยชนะที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า “ฟัคกลิ้งฟลุ๊ค”

3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง

    มันน่าคิดนะครับ เพราะจากเกมแรกที่เปล่งปลั่ง พอ 2 เกมต่อมา มาตรฐานของ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับตกลงไปอย่างน่าใจหาย โดยใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นมากกว่าทีมเวิร์ค

    ระหว่าง “เล่นไม่ดี แต่มีชัย” กับ “ตัวผู้เล่นมากกว่า แต่ไม่ชนะ” เรียนตามตรงผมขอเลือกอย่างหลังดีกว่า

    เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานอันเป็นคุณสมบัติสำคัญในการไล่ล่าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษที่ต้องอาศัยความคงเส้นคงวา และถ้าว่ากันในระยะยาวถือว่าดีกว่า

    ฉะนั้น & ฉะนี้  หากวัดจากฟอร์มการเล่นใน 3 นัดแรกของ 4 ทีมเต็ง ย้ำว่าแค่ 3 นัดแรกเท่านั้น

    แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเป็นแค่เต็ง 4 แม้จะมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาช่วยถล่มตาข่าย แถมอันดับในตารางและนาทีนี้จะสูงกว่า แมนฯ ซิตี้ ก็ตาม !!!

บอ.บู๋

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร

Add friend ที่ @Siamsport

เพิ่มเพื่อน