ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 ปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ความเคลื่อนไหวและควันหลงหลังจบทัวร์นาเมนต์ยังคงมีเรื่องน่าสนใจให้ติดตามกัน
แน่นอนว่าทัวร์นาเมนต์รายการนี้นอกจากบรรดาสตาร์ดังที่โชว์ฟอร์มผลงานได้โดดเด่นกันแล้ว ผู้เล่นดาวรุ่งของแต่ละชาติก็กลายเป็นส่วนสำคัญช่วยทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
ในยุคปัจจุบันที่หลายๆชาติต่างมาให้ความสำคัญกับการใช้ผู้เล่นเจนเนอเรชั่นใหม่ในการขับเคลื่อนทีมเพื่อก้าวขึ้นไปประสบความสำเร็จมากขึ้น ซึ่งในยูโรหนนี้เองก็มีดาวรุ่งที่แจ้งเกิดได้หลายคนเช่นกัน
เดแคลน ไรซ์ (อังกฤษ)
แม้ว่า อังกฤษ จะไปไม่ถึงฝั่งฝันด้วยการแพ้ อิตาลี ในการดวลจุดโทษเกมนัดชิงชนะเลิศคว้าได้เพียงรองแชมป์ในศึกยูโรครั้งนี้เท่านั้น แต่ทัพ “ทรีไลออนส์” มีดาวรุ่งที่สามารถขึ้นมาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวนั่นคือ ไรซ์ วัย 22 ปี
สำหรับจุดเด่นของทัพ “สิงโตคำราม” ชุดนี้นั้นต้องยกให้กับเกมรับที่เหนียวแน่นเสียประตูยาก ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือคู่มิดฟิลด์ตัวรับในแดนกลางที่เล่นได้เข้าขากันสุดๆทั้ง คาลวิน ฟิลลิปส์ และโดยเฉพาะ ไรซ์ ที่เล่นได้นิ่งเกินอายุทั้งที่เพิ่งจะเป็นทัวนาร์เมนต์ระดับเมเจอร์เป็นครั้งแรกของเจ้าตัวเท่านั้น
ดาวเตะจากเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทำหน้าที่คอยปัดกวาดแนวรุกคู่แข่ง ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาภาระให้แผงแบ็กโฟร์ได้เป็นอย่างดี โดยมีสถิติแย่งบอลจากคู่แข่งกลับมาครองได้ 28 ครั้ง พร้อมกับเข้าแท็กเกิ้ลสำเร็จ 7 จาก 10 ครั้งในทัวร์นาเมนต์นี้ ซึ่งจากฟอร์มดังกล่าวยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะย้ายสังกัดไปอยู่กับทีมที่ใหญ่กว่าเสียที หลังจากตกเป็นเป้าหมายของหลายทีมมานานแล้ว
เฌเรมี่ โดกู (เบลเยียม)
ปีกวัยเพียง 19 ปี ทำผลงานได้ตื่นตาตื่นใจกับการลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์เป็นครั้งแรก หลังจากโชว์ฟอร์มร้อนแรงให้กับ แรนส์ ต้นสังกัด ก่อนจะมาฉายแสงให้กับการเล่นทีมชาติ
สำหรับเกมที่เจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้เตะตามากที่สุดคือเกมที่ เบลเยียม แพ้ อิตาลี 1-2 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยเกมดังกล่าวเขาสวมบทกองหน้าด้านซ้ายแทน เอแด็น อาซาร์ ที่บาดเจ็บ และสามารถเลี้ยงฝ่าคู่แข่งได้ถึง 8 จาก 13 หน และช่วยให้ทีมได้จุดโทษอีกด้วย
โดกู เคยตกเป็นข่าวกับ ลิเวอร์พูล มาแล้วตอนที่เจ้าตัวค้าแข้งอยู่กับ อันเดอร์เลชท์ ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับ แรนส์ ทีมใน ลีก เอิง ฝรั่งเศส เมื่อปี 2020 และในช่วงซัมเมอร์นี้เชื่อว่าเขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งดาวรุ่งที่โดนหลายทีมยักษ์ใหญ่รุมแย่งตัว
มิคเคล ดามสการ์ด (เดนมาร์ก)
มิดฟิลด์วัย 21 ปี ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในศึกยูโรหนนี้ เมื่อได้รับโอกาสลงเล่นเป็นหนึ่งในแกนหลักในแนวรุก หลังจากทีมต้องเสีย คริสเตียน เอริคเซ่น ไปตั้งแต่นัดแรก โดยมีสถิติลงเล่นไปทั้งหมด 5 นัด ยิงได้ 2 ประตู และทำ 1 แอสซิสต์
ดาวเตะจาก ซามพ์โดเรีย เป็นปีกที่มีความเร็วและความคล่องตัวสูงมาก ซึ่งสามารถสร้างความปั่นป่วนให้แนวรับคู่แข่งได้เป็นอย่างดี หนึ่งในลูกยิงสุดสวยที่เขาทำได้คือการยิงฟรีคิกสุดงามให้ เดนมาร์ก นำ อังกฤษ 1-0 ในรอบรองชนะเลิศ แต่สุดท้ายโดน “สิงโตคำราม” แซงชนะ 2-1
จากผลงานดังกล่าวทำให้เจ้าตัวกลายเป็นแข้งเนื้อหอมไปเรียบร้อย โดยมีทั้ง ลิเววอร์พูล, เอฟเวอร์ตัน, เลสเตอร์, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน และ อินเตอร์ มิลาน ที่แสดงความสนใจดึงตัวนักเตะไปร่วมทีม และเชื่อว่าจะทำเงินให้กับ ลาซามพ์ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เปดรี้ (สเปน)
มิดฟิลด์วัย 18 ปี ทำผลงานได้โดดเด่นกับ บาร์เซโลน่า ในช่วงซีซั่นที่ผ่านมา ก่อนจะถูก หลุยส์ เอ็นริโก้ เรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีชื่อติดทีมลุยศึกยูโร 2020 แบบสุดเซอร์ไพรส์
หากย้อนไปก่อนทัวร์นาเมนต์นี้จะเริ่มขึ้น เปดรี้ ลงเล่นให้กับทีมชาติชุดใหญ่ไปเพียง 4 เกมเท่านั้น แต่ในศึกยูโรหนนี้เขากลับเป็นตัวหลักในแนวรุกให้กับ ทัพ “กระทิงดุ” โดยลงสนามเป็นตัวจริงครบทุกนัดตลอด 6 เกม และอยู่ในสนามขาดไปเพียงแค่นาทีเดียวเท่านั้นในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ต้องเล่นถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งเจ้าตัวโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 119
แม้ว่าทัวร์นาเมนต์นี้เจ้าตัวจะทำประตูและแอสซิสต์ไม่ได้เลย แต่ผลงานโดยรวมนั้นถือว่าสอบผ่านไปเต็มๆ เมื่อ ยูฟ่า ประกาศมอบรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปครอง โดยมีสถิติลงสนามทั้งหมด 629 นาที ระยะทางในสนามรวม 76.1 กิโลเมตร ผ่านบอลสำเร็จ 92.3 เปอร์เซ็นต์
“สิ่งที่ เปดรี้ ทำในทัวร์นาเมนต์นี้ ด้วยวัยเพียง 18 ปี ยังไม่มีใครทำได้ แม้แต่ อันเดรีส อิเนียสต้า เองก็ไม่ได้ทำแบบนั้น มันเหลือเชื่อจริงๆ” หลุยส์ เอ็นริเก้ กุนซือใหญ่ กล่าว
จานลุยจิ ดอนนารุมม่า (อิตาลี)
หากพูดถึงผู้รักษาประตูไม่มีใครเด่นไปกว่าดาวเตะวัย 22 ปีอีกแล้ว โดยสามารถรักษาคลีนชีตได้ 3 นัดตลอดทัวร์นาเมนต์ และมีทีเด็ดอยู่ที่การเซฟจุดโทษโดยสามารถป้องกันลูกยิงของทั้ง ดานี่ โอลโม่ และ อัลบาโร่ โมราต้า ในการดวลเป้า ช่วย อิตาลี เอาชนะ สเปน ในรอบรองชนะเลิศ
เท่านั้นไม่พอนายทวารป้ายแดงของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยังเป็นคีย์แมนสำคัญในเกมนัดชิงชนะเลิศกับ อังกฤษ ด้วยการเซฟลูกยิงของทั้ง เจดอน ซานโช่ และ บูกาโย่ ซาก้า ในการดวลจุดโทษชี้ขาด ช่วยทีมคว้าแชมป์ยูโร 2020 ได้สำเร็จ
จากผลงานดังกล่าวทำให้เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปครอง ซึ่งเป็นเพียงผู้รักษาประตูคนที่สองเท่านั้นที่คว้ารางวัลดังกล่าว นับตั้งแต่ที่ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ตำนานเดนมาร์ก ทำได้เมื่อปี 1992
Add friend ที่ @Siamsport