หยุดเล่นฟุตบอลการเมือง

ได้เวลากลับมาเคาะแป้น เขียนคอลัมน์รับใช้ประชาชน หลังหายหน้าหายตาไปนาน แต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากบนหน้าหนังสือพิมพ์มาเป็นบนเว็บไซต์ อยู่ในโลกออนไลน์ที่ถูกมองว่าเป็น “ดาบสองคม” ที่คนหลายกลุ่มใช้โซเชียลมีเดีย สร้างภาพ สร้างตัวตน บางคนอยากได้ภาพบวกแต่สุดท้ายกลับได้ภาพลบโดนทัวร์ลง

แม้แต่ในสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติ บางคนก็ค่อนแคะแดกดันว่าเป็น “โรงลิเก” โรงใหญ่ ใช้สร้างภาพ สาดน้ำลายใส่กันเองยังพอทน แต่นี่เล่นลากโยงไปถึงคนนอกที่ไม่มีโอกาสตอบโต้  เพียงเพื่อต้องการเบี่ยงประเด็น สร้างกระแส กระทบชิง เป็น “เกมการเมือง” กลวงๆ ตื้นๆ ที่มีให้เห็นมาตลอด

This image is not belong to us

ขอกระตุกสักนิด ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย  กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ  และฝ่ายบริหารในสภาผู้แทนราษฎร  เป็นกระบวนการตามขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ  ซึ่งอารยะประเทศยอมรับ 

การนำคดีอาญาที่พิจารณาแล้ว  หรืออยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในกระบวนการทางกฎหมาย มาลากโยงพาดพิงเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญา หยิบยกขึ้นมาอภิปราย สร้างความเสียหายทั้งความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ไปยังบุคคลภายนอกที่ไม่ได้นั่งอยู่ในสภาฯ  ไม่มีองครักษ์พิทักษ์คอยประท้วงปกป้อง จะลุกขึ้นชี้แจงใช้สิทธิพาดพิงใดๆ เมื่อถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ไปร่วมเสวนาสังฆกรรมตรงนั้นกับท่านด้วย

อย่างการนำคดี บอส  อยู่วิทยา มาอภิปรายชี้แจงกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน หวังผลให้เกิดกระแสสังคมกดดันโจมตีฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่คดีอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมาย  จนถูกตั้งคำถามตัวโตๆ ว่าจริงๆ แล้ว นี่แค่เกมดิสเครดิตกันทางการเมือง โดยมีเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. เป็นเดิมพันใช่หรือไม่!??

ถ้าย้อนไปช่วงที่เกิดเหตุปี 2555  ก็มีกระแสข่าวว่ามีคนในรัฐบาลขณะนั้นพยายามไล่บี้กดดันเพราะเข้าใจ (หรือคิดไปเอง) ว่าครอบครัวผู้ต้องหาสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามตนเอง  และแม้เวลาผ่านไปก็ยังมีนักการเมืองพยายามแทรกแซง ใช้กลไกทางการเมืองเข้าไปจุ้นกับการทำหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรม และโจมตีกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

คดี บอส  อยู่วิทยา  จึงไม่ต่างอะไรกับ  “ฟุตบอลการเมือง” ที่นักการเมืองหยิบขึ้นมาโยนใส่กันไปมา หากินเรียกกระแสโจมตีฝ่ายตรงข้ามก็ว่าได้

This image is not belong to us

เมื่อการทำหน้าที่ของคณะทำงานที่ถูกสร้างขึ้นจากการใช้กลไกทางการเมือง ซึ่งถูกตั้งคำถามว่า ถูกวิธี ถูกต้อง ชอบธรรมหรือไม่?  รับฟังความคิดเห็นและข้อเท็จจริงทางคดีรอบด้านแล้วหรือยัง? หรือแค่โอนไปเอนมาตามกระแสสังคมที่ผิดพลาด นั่นย่อมส่งผลถึง “ความเป็นกลาง” และคงไม่มีทางหรือยากที่แสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อตอบคำถามสังคมได้  มีแต่จะสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดการใช้อำนาจทางการเมือง เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามและระบอบประชาธิปไตย


 


ส่วนการอภิปรายถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ในกรณีการออกหมายจับสากล ร่วมกับหน่วยงานสากลระดับโลกอย่างอินเตอร์โพล ยิ่งตอกย้ำความเคลือบแคลงสงสัยที่ว่ามีการใช้กลไกทางการเมือง ที่สามารถเข้าครอบงำการทำหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งไม่มีความเป็นเอกภาพตามหลักสากลหรือไม่!?   

อีกคำถามสำคัญที่ตามมาคือ ถ้าหน่วยงานสากลซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของไทยที่ถูกกลไกทางการเมืองแทรกแซงบ้าง? ภาพลักษณ์ประชาธิปไตยบ้านเราจะเป็นอย่างไรเมื่อฝ่ายนิติบัญญัติที่ถูกแทรกแซงทางการเมือง

สุดท้ายคงต้องตะโกนเตือนดังๆ ว่าหยุดเล่นฟุตบอลการเมืองได้แล้วครับท่านผู้ทรงเกียรติ

————–


คนเถรตรง