อีกหนึ่งทีมชาติในศึกฟุตบอลโลกที่มีคนเชียร์ในบ้านเราจำนวนไม่น้อย คงหนีไม่พ้น “อิตาลี” เจ้าของแชมป์โลก 4 สมัย และแชมป์ฟุตบอลยุโรปอีก 2 สมัย อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีลีกอันแข็งแกร่งนามว่า “กัลโช่ เซเรียอา” ที่มีสโมสรยักษ์ใหญ่ ได้แก่ Juventus, Inter Milan, A.C. Milan, Roma, Lazio และ Napoli
นอกจากนั้นแล้วทีมชาติอิตาลียังมีประวัติศาสตร์ฟุตบอลมาอย่างยาวนาน ผลิตนักเตะระดับตำนานมามากมาย เช่น Paolo Maldini, Franco Baresi, Roberto Baggio, Giuseppe Meazza, Paolo Rossi หรือ Dino Zoff เป็นต้น และยังมีเหล่าตำนานอีก 1 ชุดที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นคือชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 ณ ประเทศเยอรมนีนั่นเอง
ชุดนักเตะของทีมชาติอิตาลีที่ถูกคัดตัวไปโม้แข้งในศึกฟุตบอลโลกปี 2006 ภายใต้การคุมทีมของ Marcello Lippi นำโดย Gianluigi Buffon, Fabio Cannavaro, Alessandro Del Piero, Gennaro Gattuso, Luca Toni, Francesco Totti, Alessandro Nesta, Filippo Inzaghi, Gianluca Zambrotta, Andrea Pirlo และ Marco Materazzi โดยค่าเฉลี่ยอายุจะอยู่ที่ 30 ปี หลาย ๆ คนก็ดูจะเข้าช่วงปลายชีวิตของการค้าแข้ง หรือเลยช่วงพีคมาแล้ว ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้เหล่าบรรดานักวิจารณ์ไม่ได้มองว่าพวกเขาจะเป็นตัวเต็งในการคว้าแชมป์แต่อย่างใด
อิตาลีผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายโดนถูกจับไปอยู่กลุ่ม E ร่วมกับทีมกาน่า, สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐเช็ก ดูจากภาพรวมแล้วทีมจากดินแดนมักกะโรนีน่าจะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ไม่ยาก และพวกเขาก็ทำได้จริง ๆ แถมเป็นผลงานจบแชมป์กลุ่มด้วยการชนะ 2 เสมอ 1 มีทั้งหมด 7 แต้ม มีคะแนนเหนือกว่าทีมชาติกาน่าอยู่ 1 คะแนน
โดยในเกมแรกอิตาลีเอาชนะกาน่าไปได้ 2-0 ตามมาด้วยเสมอกับสหรัฐอเมริกา 1-1 ก่อนจะส่งท้ายด้วยการเอาชนะสาธารณรัฐเช็ก 2-0 โดยแต่ละประตูที่พวกเขาทำได้ คนยิงไม่ซ้ำหน้ากันเลยซักคน
อิตาลีโคจรมาพบกับทีมชาติออสเตรเลีย ที่ผ่านเข้ารอบมาจากกลุ่ม F ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม ซึ่งภาพรวมจากบรรดาชื่อชั้นของนักเตะ ให้ใครมองก็ดูออกว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งเกมที่อิตาลีจะผ่านเกมนี้ไปได้ง่าย ๆ แน่นอน แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น
อิตาลีพยายามบุกอย่างหนักเพื่อเรียกประตู แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องโดนกองหลังของทีมแดนจิงโจ้เข้าสกัดไว้ได้แทบทั้งหมด แถมทางทีมออสเตรเลียก็หาโอกาสสวนกลับหวังได้ประตูเช่นกัน จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายครึ่งหลัง ซึ่งรูปเกมทำท่าจะยื้อไปถึงการต่อเวลาพิเศษ
แต่แล้วช่วงทดเวลาบาดเจ็บในนาทีที่ 93 ทาง Fabio Grosso ถูก Lucas Neill กองหลังของทีมจิงโจ้เสียบสกัดล้มลมในเขตโทษ ผู้ตัดสินไม่รอช้าชี้ให้เป็นลูกจุดโทษทันที และก็เป็น Francesco Totti เจ้าชายหมาป่ารับหน้าที่สังหารส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ช่วยให้อิตาลีผ่านเข้าไปรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
อิตาลีโคจรมาพบกับยูเครน ภายใต้การนำทีมของ Andriy Shevchenko กองหน้าระดับพระกาฬของทีม A.C. Milan พวกเขาถือว่าเป็นทีมม้ามืดที่สามารถทะลุมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นหนแรก และฟุตบอลโลกปี 2006 คือการเข้าสู่รอบสุดท้ายครั้งแรกด้วยเช่นกัน
ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายทัพยูเครนปราบทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์ด้วยการดวลจุดโทษในสกอร์ 3-0 หลังเสมอกันมา 0-0 อย่างไรก็ตามสุดท้ายพวกเขาก็โดนอิตาลีโค่นแบบสบายเท้าไปด้วยสกอร์ 3-0 จากผลงานการทำประตูของ Gianluca Zambrotta ในนาทีที่ 6 บวกด้วยการเบิ้ลอีก 2 ประตูของ Luca Toni ซึ่งในขณะนั้นค้าแข้งอยู่กับสโมสร Fiorentina
แม้ว่างานในรอบ 8 ทีมสุดท้ายอาจจะไม่ได้ยากเย็น แต่กับรอบเซมิไฟนอล อิตาลีต้องมาปะทะกับทีมชาติเยอรมนี เจ้าภาพในศึกฟุตบอลโลกหนนี้ ซึ่งทีมอินทรีเหล็กเพิ่งล้มอาร์เจนติน่ามาด้วยการดวลจุดโทษ และแน่นอนว่างานนี้ไม่ใช่งานง่ายของทีมชาติอิตาลีเลยแม้แต่น้อย
ทัพนักเตะของเจ้าภาพยังอุดมไปด้วยนักเตะชั้นยอด นำโดย Miroslav Klose, Michael Ballack, Philipp Lahm, Lukas Podolski, Torsten Frings, Bastian Schweinsteiger, Oliver Neuville และ Jens Lehmann เป็นต้น
แม้อิตาลีจะต้องต่อสู้กับทีมเจ้าบ้าน แน่นอนว่ามันต้องเต็มไปด้วยความกดดันอย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เกรงกลัวพร้อมทั้งเปิดเกมบุกแลกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้ง 2 ทีมมีโอกาสเฉี่ยวการทำประตูกันไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มีใครแน่นอนพอที่จะเปลี่ยนมันเป็นสกอร์ ทำให้จบครบ 90 นาทีเสมอกันอยู่ที่ 0-0
จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ เกมทำท่าจะต่อไปถึงดวลจุดโทษอยู่แล้ว แต่ในนาทีที่ 119 อิตาลีก็มาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะเตะมุมทางฝั่งขวา Alessandro Del Piero เปิดบอลเข้ามาในเขตโทษ กองหลังเยอรมันสกัดบอลไม่ดีมาเข้าทาง Andrea Pirlo ผ่านบอลไปให้ทาง Fabio Grosso ฟูลแบ็คของทีมบรรจงปั่นด้วยเท้าซ้าย บอลโค้งพุ่งหนีมือ Lehmann เข้าเสาสองไปอย่างสวยงาม
เท่านั้นยังไม่พออิตาลียังมาได้ประตูย้ำชัยชนะในนาทีที่ 120+1 จากจังหวะสวนกลับบอลมาถึงทาง Alberto Giladino ลากบอลตั้งแต่ช่วงกลางสนามจี้เข้าหากองหลัง ก่อนจะดึงจังหวะและส่งให้ Del Piero ที่เติมขึ้นมาทางซ้าย วิ่งมาดีดด้วยเท้าขวาแบบไม่ต้องจับ ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้สำเร็จ ส่งให้อิตาลีผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปได้อย่างสวยงาม ส่วนทีมชาติเยอรมนีต้องน้ำตาตกทำได้เข้าไปชิงอันดับ 3
อิตาลีต้องโคจรมาพบกับทีมชาติฝรั่งเศสในนัดชิงชนะเลิศทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติอีกครั้ง หลังจากที่นัดล่าสุดทีมตราไก่ยัดเยียดความปราชัยให้กับอิตาลีในศึกยูโร 2000 ด้วยสกอร์ 2-1 ทำให้เกมนัดนี้ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก เพราะเชื่อได้เลยว่าทีมชาติอิตาลีต้องการจะล้างแค้นคู่ปรับเก่าให้ได้แน่นอน
ฝรั่งเศสชุดลุยฟุตบอลโลก 2006 เต็มไปด้วยสุดยอดนักเตะในทุก ๆ ตำแหน่ง รวมไปถึงยังเก๋าประสบการณ์ไม่ต่างจากอิตาลีเลย นำโดย Zinedine Zidane, Thierry Henry,Patrick Vieira, Florent Malouda, Eric Abidal, Lilian Thuram, David Trezeguet, Claude Makelele และ Franck Ribery
โดยก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้นส่วนมากนักวิจารณ์เทคะแนนให้ทีมชาติฝรั่งเศสเหนือว่าทีมชาติอิตาลี แต่โลกของฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้หากยังไม่สิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน
เกมเริ่มต้นขึ้นเป็นไปตามคาด ทีมตราไก่ทำเกมได้ดีกว่าและมาได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วในนาทีที่ 7 จากลูกจุดโทษของ Zidane ที่ชิพบอลเช็ดคานก่อนที่บนจะตกพื้นข้ามเส้นประตูเข้าไป แต่ทีมชาติอิตาลีก็ไม่ยอมแพ้ตามมาตีเสมอได้สำเร็จจากจังหวะเตะมุม Pirlo โยนบอลจากฝั่งขวาเข้ามาในจุดนัดพบ และเป็น Marco Materazzi ปราการหลังร่างสูงลอยตัวเบียดเอาชนะ Vieira โขกเข้าประตูไปในนาทีที่ 19 ทำให้สกอร์เป็น 1-1
รูปเกมในครึ่งแรกหลังจากนั้นดูเหมือนว่าทีมชาติอิตาลีจะพบจุดอ่อนฝรั่งเศสจากลูกกลางอากาศ พวกเขาจึงได้ตัดสินใจใช้ลูกโด่งโจมตี ซึ่งก็ได้ลุ้นในหลาย ๆ จังหวะแต่ก็ยังเปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้อยู่ดี ทำให้จบครึ่งแรกสกอร์ยังไม่ขยับ จนกระทั่งเข้าสู่ครึ่งหลัง ฝรั่งเศสทำเกมรุกได้น่ากลัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ Henry ที่ปั่นป่วนกองหลังอิตาลีได้ดีตลอด
เกมเข้ามาสู่ช่วงนาทีที่ 62 อิตาลีก็ชวดโอกาสขึ้นนำไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อ Luca Toni โหม่งบอลจากลูกฟรีคิกเข้าประตูไปแต่ดันล้ำหน้าไปซะก่อน ต่อจากนั้นภาพรวมก็เป็นทั้ง 2 ทีมที่สลับกันสร้างโอกาส ซึ่งดูเหมือนว่าอิตาลีจะได้ลุ้นมากกว่าโดยเฉพาะจังหวะฟรีคิกของ Pirlo ในนาทีที่ 77 จนสุดท้ายจบครึ่งหลังก็ยังคงสกอร์เดิม ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษกันไปอีก 30 นาที
ช่วงต่อเวลาพิเศษทีมชาติฝรั่งเศสมีโอกาสฉิวเฉียดที่จะได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 99 เมื่อ Ribery ตะลุยแหวกกองหลังอิตาลีเข้าไปในกรอบเขตโทษจนได้ช่องว่าง ก่อนจะสับไกยิงเน้นไปที่เสาสอง แต่บอลมันดันหลุดออกหลังไป พลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย และอีกจังหวะในนาทีที่ 104 Zidane ได้โหม่งจ่อ ๆ หน้าปากประตู แต่โดน Buffon ลอยตัวปัดบอลข้ามคานออกไป
และแล้วโมเมนต์แห่งประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลกก็เกิดขึ้น ในช่วงครึ่งหลังของการต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 108 เมื่อเพลย์เมกเกอร์เบอร์ 1 ของโลก Zinedine Zidane ใช้หัวไปโขกใส่ Marco Materazzi ล้มลง หลังจากที่ถูกกองหลังทีมชาติอิตาลีไปพูดจายั่วยุใส่ กรรมการไม่รอช้าควักใบแดงแจกให้ Zidane ออกนอกสนามไปทันที ส่งผลให้ทีมชาติฝรั่งเศสตกเป็นรองตัวผู้เล่นไปซะแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็สามารถยันสกอร์นี้ไว้ได้ จนเดินทางมาไปสู่การดวลจุดโทษตัดสินหาแชมป์
อิตาลีเป็นทีมที่เคยเจ็บช้ำจากการแพ้ลูกจุดโทษให้ทีมชาติบราซิลมาก่อน ในฟุตบอลโลกปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา แต่ในครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม เพราะทั้ง 5 คนแรกที่ได้รับหน้าที่สังหาร ได้แก่ Pirlo, Materazzi, De Rossi, Del Piero และ Grosso ยิงเข้ากันครบทุกคน
ส่วนฝั่งฝรั่งเศสพลาดตั้งแต่คนที่ 2 และคนที่พลาดคือ Trezeguet ผู้ยิงประตูชัยในกฏ Golden Goal ใส่อิตาลีในศึกยูโร 2000 นั่นเอง เขาพยายามยิงลูกฟุตบอลไปยังใต้คาน แต่มันดันไม่เป็นใจเพราะลูกบอลไปโดนคานด้านนอกจนเด้งออกมานอกกรอบประตู และนั่นคือจุดที่ทำให้ฝรั่งเศสต้องพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 3-5 ส่งให้อิตาลีคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ได้อย่างยิ่งใหญ่ เท่านั้นยังไม่พอยังเป็นการปิดฉากการลงเล่นทีมชาติของ Zidane ไปได้อย่างเจ็บปวด ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะได้ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ก็ตาม
เยอรมัน 2006 น่าจะอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน หวังว่ามันจะช่วยอุ่นเครื่องให้คุณรู้สึกตื่นเต้นกับฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ไม่มากก็น้อยนะครับ