ศึกลูกหนัง ยูโร 2020 เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศเรียบร้อย โดยที่ อังกฤษ เป็นทีมสุดท้ายที่ได้ตั๋ว หลังไล่ยำ ยูเครน 4-0 ในเกมรอบก่อนรองฯ คู่สุดท้าย เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา และนี่คือโฉมหน้าทั้ง 4 ทีมที่เตรียมลงฟาดแข้งในรอบตัดเชือก ซึ่งมีเพียง “สิงโตคำราม” ทีมเดียว ที่ยังไม่เคยสัมผัสตำแหน่งแชมป์มาก่อน
– สเปน (แชมป์ 3 สมัย : ปี 1964, 2008 และ 2012)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : เสมอ สวีเดน 0-0, เสมอ โปแลนด์ 1-1, ชนะ สโลวาเกีย 5-0
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ โครเอเชีย 5-3 (ต่อเวลาพิเศษ)
รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะดวลจุดโทษ สวิตเซอร์แลนด์ 3-1 (เสมอ 1-1 ในเกม 120 นาที)
แม้ออกสตาร์ททัวร์นาเมนต์แบบฝืดๆ เพราะเอาชนะใครไม่ได้ใน 2 เกมแรก แต่หลังจากนั้นทัพ “กระทิงดุ” ยิ่งเล่นยิ่งดุสมชื่อ ถึงแม้ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ต้องไปตัดสินในช่วงดวลเป้าก็ตาม ขณะที่กุนซือ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ก็คุยโวแล้วว่า สเปน ชุดนี้มีดีพอที่จะคว้าแชมป์ และตอนนี้พวกเขาคือทีมที่ทำประตูได้มากสุดในทัวร์นาเมนต์ (12 ลูก)
* ดาวซัลโวประจำทีม * : อัลบาโร่ โมราต้า, ปาโบล ซาราเบีย และ เฟร์ราน ตอร์เรส 2 ประตู
– อิตาลี (แชมป์ 1 สมัย : ปี 1968)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ ตุรกี 3-0, ชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 3-0, ชนะ เวลส์ 1-0
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ ออสเตรีย 2-1 (ต่อเวลาพิเศษ)
รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะ เบลเยียม 2-1
“อัซซูร์รี่” ภายใต้การนำทัพของกุนซือ โรแบร์โต้ มันชินี่ เล่นได้สนุกเร้าใจแบบที่ไม่เคยเห็นจากทีมยุคก่อนๆ แถมทำผลงานได้ยอดเยี่ยมตามที่ถูกจับตามองไว้จริงๆ เพราะจนถึงตอนนี้พวกเขาคือหนึ่งเดียวที่คว้าชัยชนะรวดตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ และแน่นอนว่า แฟนๆ ทีม “อัซซูร์รี่” คาดหวังไว้สูงทีเดียว ที่จะได้เห็น อิตาลี คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่สอง หลังจากที่ได้หนแรกเมื่อปี 1968
* ดาวซัลโวประจำทีม * : ชิโร่ อิมโมบิเล่, ลอเรนโซ่ อินซินเย่, มานูเอล โลคาเตลลี่ และ มัตเตโอ เปสซิน่า 2 ประตู
– เดนมาร์ก (แชมป์ 1 สมัย : ปี 1992)
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : แพ้ ฟินแลนด์ 0-1, แพ้ เบลเยียม 1-2, ชนะ รัสเซีย 4-1
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ เวลส์ 4-0
รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะ สาธารณรัฐเช็ก 2-1
เจอเรื่องร้ายๆ จาก คริสเตียน อีริคเซ่น จอมทัพคนสำคัญ ตั้งแต่นัดแรก แถมไม่มีแม้แต่คะแนนเดียว จากการลงแข่ง 2 นัด แต่พลังแห่ง “เดนิส ไดนาไมต์” ไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะพวกเขารวมพลังกันสู้ แถมทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จนตอนนี้เข้ามาถึงรอบตัดเชือกเรียบร้อย… หรือว่า เดนมาร์ก จะสร้างเทพนิยายได้เหมือนกับตอนคว้าแชมป์ในปี 1992?
* ดาวซัลโวประจำทีม * : แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก 3 ประตู
– อังกฤษ
ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม : ชนะ โครเอเชีย 1-0, เสมอ สกอตแลนด์ 0-0, ชนะ สาธารณรัฐเช็ก 1-0
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ เยอรมนี 2-0
รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะ ยูเครน 4-0
“สิงโตคำราม” เล่นแบบจืดๆ แต่มีคุณภาพในรอบแบ่งกลุ่ม ทว่าพอเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ พวกเขาก็ได้เพิ่มเติมความดุดันและความจัดจ้านเข้าไป เพราะผ่านทั้ง เยอรมนี และ ยูเครน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ด้วยการทำประตูรวมถึง 6 ลูก และจนถึงตอนนี้พวกเขาเป็นเพียง “ทีมเดียว” ที่ยังไม่เสียประตูเลย ซึ่งด้วยฟอร์มที่สวยหรูแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเวลา แฟนบอลทีมชาติอังกฤษทั้งที่ไทยและเมืองผู้ดี ต่างเริ่มฝันถึงการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกแล้ว โดยเฉพาะแฟนบอลชาวอังกฤษ ที่ตอนนี้คงร้องเพลง Football’s coming home กันทั้งประเทศ
* ดาวซัลโวประจำทีม * : แฮร์รี่ เคน และ ราฮีม สเตอร์ลิง 3 ประตู
สำหรับรอบตัดเชือกได้มีการประกบคู่ออกมาเป็นที่เรียบร้อย และแน่นอนว่า บิ๊กแมตช์อยู่ที่การดวลกันระหว่างทีม “อัซซูร์รี่” และ “กระทิงดุ” ซึ่งเกมรอบรองฯ ทั้งสองแมตช์ จะฟาดแข้งกันที่สนาม เวมบลีย์ สเตเดี้ยม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
6 กรกฎาคม
– อิตาลี VS สเปน
7 กรกฎาคม
– อังกฤษ VS เดนมาร์ก
– Subinho –
Add friend ที่ @Siamsport