จบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 4 ในลีก และเป็นรองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่เคยเกิดกับทั้ง ลิเวอร์พูล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยกรณีของ “หงส์แดง” เป็นในซีซั่น 2017-18 ขณะที่ของ “ไก่เดือยทอง” เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในฤดูกาล 2018-19
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือผลงานในซีซั่นต่อมา ลิเวอร์พูล สามารถได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2018-19 มาครอง แถมยังเกือบจะได้แชมป์ลีกด้วยจากการแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปเพียง 1 คะแนน ในทางตรงกันข้าม ในซีซั่น 2019-20 สเปอร์ส ออกสตาร์ตได้น่าผิดหวังจนต้องปลด เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ออกจากการเป็นกุนซือ ทั้งที่เขาเพิ่งพาทีมเข้าถึงรอบชิงดำของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น
จนถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล ยังเป็นทีมที่น่ากลัวแม้ว่าผลงานจะดร็อปลงไปบ้างก็ตาม แม้ว่าในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก พวกเขาจะแพ้ เรอัล มาดริด ไปก่อน 1-3 แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นหมดหวังที่จะพลิกสถานการณ์ ส่วนในลีกก็ยังมีลุ้นติดท็อปโฟร์มากกว่า สเปอร์ส ที่ฟอร์มหลุดอย่างหนักในพักหลัง แถมตอนนี้เหลือลุ้นแชมป์แค่รายการเดียวคือ คาราบาว คัพ ซึ่งไม่ได้ถูกมองว่าเป็นรายการใหญ่มากนัก ซ้ำร้ายคู่แข่งที่รออยู่ยังเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซะอีก
อะไรเป็นจุดที่แตกต่างกันจนทำให้เส้นทางของ ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส เดินไปคนละทาง ทั้งที่พวกเขาเคยอกหักในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก เหมือนกัน ? คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคงจะหนีไม่พ้น “วิสัยทัศน์ของทีมงานในการเสริมทัพ”
หลังจากชวดแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่น 2017-18 จากการแพ้ให้ เรอัล มาดริด 1-3 ลิเวอร์พูล ก็ประเคนเงินมากถึงราว 160 ล้านปอนด์กับการดึงนักเตะมาร่วมทีม 4 คนในช่วงซัมเมอร์ของปี 2018 ประกอบด้วย นาบี เกอิต้า, ฟาบินโญ่, เซอร์ดาน ชากิรี่ และ อลีสซง เบ็คเกอร์ ซึ่งรายของ อลีสซง กับ ฟาบินโญ่ เป็นกำลังหลักของทีมมาจนถึงทุกวันนี้ได้
เร่งเวลามาเป็นช่วงซัมเมอร์ ปี 2019 สเปอร์ส ได้นักเตะมาร่วมทัพ 6 คน แต่ในชุดนั้นมีคนที่ดีกรีดีพอจะเล่นให้ทีมชุดใหญ่ทันทีแค่ 2 คน นั่นคือ ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ ซึ่งมีค่าตัว 55 ล้านปอนด์ กับ โจวานี่ โล เซลซ่ ที่ยืมมาจาก เรอัล เบติส ส่วน ไรอัน แซสเซอญง (25 ล้านปอนด์), แจ็ค คล้าร์ก (10 ล้านปอนด์), คิออน เอเตเต้ (ไม่เปิดเผยค่าตัว) และ อิซาค มิดต์ตุน โซลเบิร์ก (ไม่เปิดเผยค่าตัว) ถูกดึงมาโดยที่ สเปอร์ส หวังว่าจะปลุกปั้นไปใช้งานต่อในอนาคตเป็นหลักมากกว่า
ใช่ สเปอร์ส จำเป็นต้องแบ่งงบส่วนหนึ่งไปกับการสร้างสนามแห่งใหม่ที่ แดเนี่ยล เลวี่ บิ๊กบอสของทีม หวังว่าจะให้เป็นสนามที่โด่งดังระดับเดียวกับบรรดาสนามใหญ่ๆ ของเกาะอังกฤษ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมองข้ามเรื่องการเสริมทัพได้ และที่จริงขุมกำลังของ สเปอร์ส ในตอนนั้นก็ไม่ได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แนวรุกของพวกเขาที่พึ่งพาได้ก็ยังมีแค่ แฮร์รี่ เคน กับ ซน ฮึง-มิน เหมือนเดิม เพราะว่า ลูคัส มูร่า กับ เอริค ลาเมล่า ฟอร์มไม่คงเส้นคงวาเท่าที่ควร
ขณะที่แผงมิดฟิลด์ในช่วงก่อนที่จะเสริมทัพเมื่อตอนกลางปี 2019 ก็มีเพียง เอริค ดายเออร์, แฮร์รี่ วิงค์ส, มุสซ่า ซิสโซโก้, คริสเตียน เอริคเซ่น, วิคตอร์ วานยาม่า และ เดเล่ อัลลี่ เท่านั้น ส่วนแผงหลังก็ประกอบด้วย แดนนี่ โรส, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, ยาน แฟร์ต็องเก้น, ดาวินซอน ซานเชซ, ฮวน ฟอยธ์, แซร์จ ออริเย่ร์ และ เบน เดวิส ส่วน โดยที่ คีแรน ทริปเปียร์ โดนขายไปให้ แอตเลติโก มาดริด
จะเห็นได้ว่าขุมกำลังโดยรวมของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนักทั้งที่จริงๆ แล้วมันถือเป็นช่วงสำคัญที่ สเปอร์ส จำเป็นต้องสานต่อโมเมนตัมจากตอนที่เป็นรองแชมป์ของศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 2018-19 ให้ได้ ซึ่งการขาดขุมกำลังที่ดีก็กลายเป็นผลร้ายที่ทำให้พวกเขาต้องสังเวย โปเช็ตติโน่ และเสี่ยงเอาชายที่ชื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาทำทีม และจนถึงตอนนี้มันก็ไม่เกินเลยไปนักหากจะบอกว่าผลงานโดยรวมของ มูรินโญ่ อยู่ในระดับน่าผิดหวัง
หากจะบอกว่าที่ ลิเวอร์พูล ทุ่มเงินระดับ 160 ล้านปอนด์เพื่อทำการเสริมทัพในตอนซัมเมอร์ ปี 2018 มันเป็นเพราะขุมกำลังของพวกเขาไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ต่างกับกรณีของ สเปอร์ส แล้วล่ะก็ มันก็ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เพราะที่จริงก่อนหน้าที่จะดึง 4 แข้งมาร่วมทีมนั้นพวกเขาก็มีนักเตะอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, เจมส์ มิลเนอร์, จอร์แดน เฮนเอร์สัน, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ฯลฯ ให้ใช้งานอยู่แล้ว แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ และบอร์ดบริหารก็มีความเห็นตรงกันว่ามันจำเป็นต้องเสริมทัพครั้งใหญ่เพื่อสานต่อโมเมนตัมให้ได้ จะมีก็แค่ ลอริส คาริอุส เท่านั้นที่ดูไม่เหมาะกับการเป็นกำลังหลักของทีมจริงๆ
ช่างเหมือนตลกร้าย เมื่อไม่กี่ปีก่อน ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส เคยถูกมองว่าเป็นทีมที่คล้ายๆ กัน ทั้งการมีกุนซือวัยไล่เลี่ยกันที่ชอบเกมบุกเหมือนกัน (ปัจจุบัน คล็อปป์ อายุ 53 ปี ส่วน โปเช็ตติโน่ อายุ 49 ปี) แถมต่างก็มีขุมกำลังที่เต็มไปด้วยแข้งพลังหนุ่มที่มีอนาคตสดใส แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นว่าเส้นทางข้างหน้าของ สเปอร์ส กลับต่างกับ ลิเวอร์พูล เยอะพอตัว
– เด็กเกร็ดบอล –
Add friend ที่ @Siamsport